ในยุคที่ดอกเบี้ยอยู่ในช่วงขาลง จะมีสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนที่เหมาะสมในระยะยาวหรือไม่? คุณน้าขอบอกว่า มีค่ะ โดยหลาย ๆ คนคงรู้จักกับตราสารหนี้หรือกองทุนรวมทางการเงินกันไปแล้ว ในวันนี้คุณน้าจะพาทุกคนมารู้จักกับประเภทการลงทุนที่น่าสนใจไม่แพ้กัน นั่นก็คือ ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ หรือ REIT นั่นเองค่ะ ซึ่ง REIT คืออะไร? มีคุณสมบัติเด่น ๆ และข้อที่ควรรู้อะไรบ้าง? ในวันนี้คุณน้าได้รวบรวมทุกเรื่องที่คุณควรรู้มาไว้ให้แล้ว ไปหาคำตอบกันเลยค่ะ!
*หมายเหตุ : บทความนี้เป็นเพียงบทความให้ความรู้เท่านั้น ไม่ได้เป็นการชักชวนการลงทุนแต่อย่างใด โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
REIT คืออะไร?
REIT ถูกย่อมาจาก Real Estate Investment Trust คือ ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ โดยลักษณะเด่นของ REIT จะเป็นการระดมเงินทุนจากนักลงทุนทั่วไป ทั้งนักลงทุนรายย่อยและนักลงทุนสถาบัน เพื่อนำเงินไปลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่มีผลตอบแทนสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเป็นห้างสรรพสินค้า, อาคารสำนักงาน และคลังสินค้า เป็นต้น ซึ่งจะได้รับผลตอบแทนเป็นเงินปันผล เมื่ออสังหาริมทรัพย์ที่คุณลงทุนมีรายได้นั่นเอง
แล้วอย่างนี้ ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์จะแตกต่างจากหุ้นอสังหาริมทรัพย์ไหม? คุณน้าขอบอกว่ามีความแตกต่างกันนั่นก็คือ นักลงทุนสามารถลงทุน REIT ด้วยเงินทุนที่น้อยกว่าการลงทุนหุ้นอสังหาริมทรัพย์ค่ะ อีกทั้ง REIT ยังมีความผันผวนที่ต่ำกว่าอีกด้วย เพราะ REIT จะได้รับรายได้จากการเช่าเป็นหลัก ทำให้อัตราผลตอบแทนจะเป็นเงินปันผลที่สม่ำเสมอ เนื่องจากกระดานการซื้อขายจะไม่ผันผวน ทำให้นักลงทุนจะมองการลงทุน REIT ในระยะยาว
เกร็ดความรู้! รายได้ของ REIT เกิดจากอะไรบ้าง?
รายได้จาก REIT มาจากการเก็บค่าเช่าอสังหาริมทรัพย์ที่ลงทุนไป ไม่ว่าจะเป็นโรงแรม, ห้างสรรพสินค้า, อาคาร, คลังสินค้า หรือแม้แต่สถานที่จัดงาน ซึ่ง REIT จะจ่ายเงินปันผลให้แก่นักลงทุนอยู่ที่ 5-7% ต่อปีเลยทีเดียว
หลักการทำงานของ REIT เป็นอย่างไร?
“ REIT จะมีการซื้อขายเสมือนกับหุ้นตัวหนึ่ง โดยนักลงทุนสามารถจองการซื้อได้ผ่านผู้จัดการกองทรัสต์ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ”
หลักการทำงานสำคัญของ REIT นั่นก็คือ การระดมทุนจากนักลงทุนทั่วไปผ่านการขายหน่วยทรัสต์ โดยจะมีผู้จัดการกองทรัสต์ทำหน้าที่ดูแลบริหารจัดการกองทุนและนำเงินไปลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่รายได้ประจำในรูปแบบเช่า ซึ่ง REIT อาจจะลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่มีรูปแบบเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์หรือลงทุนในสิทธิเช่า จากนั้น REIT จะนำอสังหาริมทรัพย์นั้น ๆ ไปปล่อยเช่า เพื่อให้มีรายได้ประจำจึงจะจ่ายปันผลให้กับนักลงทุนนั่นเอง
เรียกได้ว่า REIT ถือเป็นการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์แบบทางอ้อม ซึ่งจะช่วยให้นักลงทุนสามารถกระจายความเสี่ยงจากการลงทุนได้ดี อีกทั้งยังไม่จำเป็นต้องมีเงินลงทุนจำนวนมากก็สามารถลงทุนได้ อีกทั้ง REIT ยังให้ผลตอบแทนอย่างสม่ำเสมอและมีสภาพคล่องสูงอีกด้วย
ทำไมบริษัทมีการขายอสังหาริมทรัพย์เข้า REIT
การที่บริษัทขายสินทรัพย์เข้า REIT เพราะบริษัทต้องการเงินลงทุนจากการขายหน่วยลงทุน เพื่อต้องการขยายกิจการ, ปรับปรุงโครงการให้ดีมากขึ้น, ใช้เป็นเงินหมุนเวียน หรือแม้แต่การชำระหนี้สินให้กับบริษัท เป็นต้น
ประเภทของกอง REIT มีอะไรบ้าง?
กอง REIT สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่
ความหมาย | |
Freehold | กองทุนที่ลงทุนอสังหาริมทรัพย์เพื่อเป็นเจ้าของ ซึ่งลักษณะของกอง REIT ประเภท Freehold คือ ผู้ถือหน่วยลงทุนจะมีกรรมสิทธิ์เต็มที่ในอสังหาริมทรัพย์ที่นำไปลงทุนค่ะ ซึ่งในกรณีที่กองทุนมีการขายอสังหาริมทรัพย์ โดยมีมูลค่าสูงกว่าตอนที่กองทุนทำการเข้าซื้อ นั่นจะแสดงว่าผู้ถือหน่วยลงทุนจะได้รับเงินปันผลที่เพิ่มมากขึ้นนั่นเอง |
Leasehold | กองทุนที่ลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในรูปแบบการเช่า ซึ่งผู้ถือหน่วยลงทุนจะไม่มีกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ที่ลงทุนไปเหมือน Freehold ค่ะ เพราะเป็นการลงทุนเช่าสัญญากับเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ เมื่อสัญญาครบกำหนด กอง REIT ต้องคืนอสังหาริมทรัพย์ให้กับเจ้าของ ซึ่งนักลงทุนจะได้รับผลตอบแทนในช่วงที่สัญญากำหนดเท่านั้น สำหรับการจ่ายผลตอบแทนจะมาในรูปแบบของเงินปันผลจากการปล่อยเช่านั่นเอง |
🔍 Freehold VS Leasehold มือใหม่ลงทุนอันไหนดีกว่ากัน?
จากที่กล่าวไปข้างต้น จะเห็นได้ว่ากอง REIT ประเภท Freehold และ Leasehold มีความแตกต่างกัน ซึ่งทั้ง 2 ประเภทมีลักษณะเด่นที่แตกต่างกัน แต่ถ้าถามว่านักลงทุนมือใหม่ควรเลือกลงทุนในกอง REIT อันไหนดี? คุณน้ามองว่า กอง REIT ประเภท Freehold มีความน่าสนใจมากกว่าค่ะ เนื่องจากสามารถดูอัตราเงินปันผลได้เลย เพราะว่าผู้ถือหน่วยลงทุนมีกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์และสามารถได้รับผลตอบแทนบนสินทรัพย์แบบไม่มีกำหนดอีกด้วย อย่างไรก็ดี นักลงทุนมือใหม่ควรศึกษาข้อควรรู้เกี่ยวกับกอง REIT ให้ดีก่อนตัดสินใจลงทุนนะคะ เพราะการลงทุนล้วนมีความเสี่ยงค่ะ
10 ข้อควรรู้ก่อนตัดสินใจลงทุนกอง REIT
คุณน้าได้รวบรวม 10 ข้อควรรู้ก่อนตัดสินใจลงทุนกอง REIT โดยมีรายละเอียดตามตารางด้านล่างนี้
การก่อตั้ง | สัญญากองทรัสต์เป็นไปตามพ.ร.บ. ทรัสต์เพื่อธุรกรรมในตลาดทุน พ.ศ. 2550 |
ขนาดของกองทรัสต์ | การเสนอขายหน่วยทรัสต์ ≥ 500 ล้านบาท |
จำนวนผู้ถือหน่วยลงทุนหลังเสนอขาย IPO | ≥ 250 ราย |
การซื้อขายหน่วยทรัสต์ | หน่วยทรัสต์ต้องจดทะเบียนใน SET |
ผู้จัดการกองทุนทรัสต์ | บริษัทหลักทรัพย์ที่มีการจัดการกองทุนรวมหรือบริษัทหลักทรัพย์ที่มีความเชี่ยวชาญการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ โดยมีคุณสมบัติตรงตามเกณฑ์ที่ ก.ล.ต. เป็นผู้กำหนด |
การลงทุนอสังหาริมทรัพย์ทั้งในประเทศและต่างประเทศ | กอง REIT สามารถลงทุนอสังหาริมทรัพย์ได้ทั้งในประเทศและต่างประเทศ |
การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ | ทำได้ไม่เกิน 10% ของสินทรัพย์รวม |
ประเภทสินทรัพย์ที่ REIT ลงทุนได้ | อสังหาริมทรัพย์ทุกประเภทที่ไม่มีข้อพิพาทใดๆ ต่อการจัดหาประโยชน์จากอสังหาริมทรัพย์อย่างมีนัยสำคัญ อสังหาริมทรัพย์ที่พร้อมจัดสรรประโยชน์ ≥ 75% ของมูลค่าหน่วยลงทุนทั้งหมดที่มีการเสนอขาย (รวมเงินกู้ยืม) อสังหาริมทรัพย์ที่ยังไม่แล้วเสร็จ โดยมูลค่าของเงินลงทุนที่จะนำไปพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ให้แล้วเสร็จจะต้องไม่เกิน 10% ของทรัพย์สินรวมของอสังหาริมทรัพย์ และจะต้องมีมูลค่าไม่น้อยกว่า 500 ล้านบาท |
การกู้ยืม | กองทรัสต์สามารถนำสินทรัพย์ไปเป็นหลักประกันได้ โดยต้องมี Investment Grade Rating กู้ยืม ≤ 60% ของมูลค่าสินทรัพย์รวม |
การจ่ายผลตอบแทน | ≥ 90% ของกำไรสุทธิที่ปรับปรุงแล้ว |
REIT เสียภาษีไหม?
สำหรับนักลงทุนทั่วไปจะได้รับการยกเว้นในการเสียภาษี กรณีได้รับกำไรจากการขายหน่วยลงทุน ส่วนการได้รับเงินปันผลก็ไม่จำเป็นต้องเสียภาษี เพราะ REIT จะต้องหัก ณ ที่จ่าย 10% ของรายได้จากเงินปันผลค่ะ
ข้อดี-ข้อควรระวังของกอง REIT
ข้อดี
- กระจายความเสี่ยงได้ดี
- ผลตอบแทนระยะยาวและมีความผันผวนต่ำ
- ไม่ต้องลงเงินทุนจำนวนมาก
- ได้รับผลตอบแทน 90% ของกำไรสุทธิที่ปรับปรุงแล้ว
- มีผู้จัดการกองทรัสต์ในการเข้ามาดูแลบริหารจัดการกองทุน
- สภาพคล่องสูง
ข้อควรระวัง
- ความเสี่ยงจากการบริหารจัดการ
- ความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจ
- ความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ย
วิธีการเลือก REIT อย่างไรให้ยั่งยืน?
สำหรับนักลงทุนมือใหม่ที่ต้องการเลือก REIT อย่างไรให้ยั่งยืน? คุณน้าขอแนะนำ 5 วิธีการเลือกกอง REIT โดยมีรายละเอียด ดังนี้
1. ศึกษาอัตราผลตอบแทน
มาเริ่มกันที่ การศึกษาอัตราผลตอบแทน โดยปกติแล้ว กอง REIT จะจ่ายเงินปันผลให้แก่นักลงทุนปีต่อปี ดังนั้น นักลงทุนควรศึกษาว่า อัตราผลตอบแทนที่กอง REIT จ่ายในปีก่อน ๆ มีความเหมาะสมไหม เพื่อพิจารณาอัตราผลตอบแทนและหน่วยลงทุนที่กอง REIT เสนอขายว่ามีความคุ้มค่าหรือไม่
2. ดูผลประกอบการของกอง REIT
มาต่อกันที่วิธีการเลือก REIT อย่างไรให้ยั่งยืนข้อที่ 2 คือ การดูผลประกอบการในอดีตของกอง REIT ว่ามีกำไรหรือไม่ โดยจะพิจารณาจากงบการเงิน, สัดส่วนหนี้สิน, อัตราการเช่าเฉลี่ย* (Occupancy Rate) และประวัติการจ่ายปันผล เป็นต้น ซึ่งจะช่วยให้นักลงทุนสามารถคาดการณ์ในอนาคตได้ว่า กองทุนจะจ่ายเงินปันผลอยู่ที่เท่าไหร่
- หากอัตราการเช่าเฉลี่ยสูง เท่ากับว่ากอง REIT มีศักยภาพในการรับรายได้สูง
- หากอัตราการเช่าต่ำ เท่ากับว่ากอง REIT มีศักยภาพในการรับรายได้ต่ำ
3. การพิจารณาทำเลและศักยภาพในการสร้างรายได้ของอสังหาริมทรัพย์
อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่จะทำให้กอง REIT สามารถไปต่อได้นั่นก็คือ การพิจารณาทำเลและศักยภาพในการสร้างรายได้ของอสังหาริมทรัพย์นั้น ๆ ค่ะ เพราะการศึกษาทำเลจะทำให้เห็นว่า อสังหาริมทรัพย์ที่คุณเลือกลงทุนนั้น มีคู่แข่งและอุปทานล้นตลาดหรือไม่ เพื่อคาดการณ์อัตราการขึ้นค่าเช่าในอนาคตนั่นเอง
4. การศึกษาประเภทของกอง REIT ที่คุณสนใจ
จากที่คุณน้าได้กล่าวไปก่อนหน้านั้นเกี่ยวกับประเภทของกอง REIT ว่ามี 2 ประเภท ได้แก่ Freehold และ Leasehold ใช่ไหมคะ ซึ่งจริง ๆ แล้ว ทั้ง 2 ประเภทก็มีคุณสมบัติเด่น ๆ ที่แตกต่างกัน โดยมีรายละเอียด ดังนี้
- หากคุณเลือกลงทุนอสังหาริมทรัพย์ประเภท Freehold : คุณจะได้ผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นในอนาคต เมื่อที่ดินรอบ ๆ มีการพัฒนาและมีมูลค่าสูงขึ้น หรือแม้แต่อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นในอนาคต หากกอง REIT ประเภท Freehold มีการขายสินทรัพย์ออกไปจะส่งผลให้นักลงทุนสามารถเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนมากขึ้น
- หากคุณเลือกลงทุนอสังหาริมทรัพย์ประเภท Leasehold : คุณจะต้องรู้ว่าในอนาคต มูลค่าของกองทุนนี้จะลดลง เนื่องจากเป็นสัญญาเช่าที่มีระยะเวลากำหนดชัดเจน ทำให้อัตราเงินปันผลของการลงทุนประเภท Leasehold จะสูงกว่าประเภท Freehold เพราะเป็นเหมือนการจ่ายคืนเงินต้นนั่นเอง
5. ผู้จัดการกองทรัสต์มีความสามารถในการบริหารจัดการหรือไม่?
มาต่อกันที่วิธีการเลือกกอง REIT ขั้นตอนสุดท้าย คือ การพิจารณาความสามารถของผู้จัดการกองทรัสต์ค่ะ เพราะการบริหารจัดการจะส่งผลต่อมูลค่าและรายได้ของกองทุนในอนาคต อีกทั้งยังส่งผลต่อสภาพคล่องของกองทุนอีกด้วยค่ะ
ลงทุน REIT ยังไง?
สำหรับนักลงทุนที่มีบัญชีซื้อขายหุ้นบนตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยอยู่แล้ว คุณสามารถซื้อ REIT ได้ที่บัญชีเดียวกันได้เลยค่ะ ส่วนนักลงทุนมือใหม่ก็สามารถเปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ได้กับบริษัทหลักทรัพย์ที่ทำหน้าที่เป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ โดยการซื้อขาย REIT จะเหมือนกับการซื้อขายหุ้น เพราะมีระยะเวลาซื้อขายเหมือนตลาดหุ้นทั่วไปเลยค่ะ ซึ่ง REIT จะอยู่ภายใต้กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้างหรือหมวดกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์
“ในปัจจุบันกอง REIT มีทั้งหมด 60 หลักทรัพย์ที่มีการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย”
นอกจากนี้ นักลงทุนหลาย ๆ คนคงสงสัยว่า กอง REIT ลงทุนในกองทุนรวมได้ไหม? คุณน้าขอตอบว่า ได้ค่ะ เพราะมีกองทุนรวมที่มีนโยบายลงทุนใน REIT หลายกองทุนด้วยกัน ซึ่งแต่ละกองทุนก็มีนโยบายที่แตกต่างกัน เช่น เน้นลงทุน REIT เฉพาะในประเทศ หรือบางกองทุนก็สามารถลงทุนได้ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เป็นต้น
กอง REIT ปันผลสูง ปี 2567
คุณน้าขอยกตัวอย่าง 10 กอง REIT ปันผลสูง ปี 2567 โดยจะเป็นกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับอานิสงส์มาจากการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ทำให้กลุ่มค้าปลีกและโรงแรมมีความน่าสนใจค่ะ โดยมีรายละเอียด ดังนี้
กอง REIT | ประเภท | อัตราเงินปันผลตอบแทน (%) | การจ่ายปันผล (บาท/หุ้น) |
FTREIT | Freehold & Leasehold | 7.31% | 0.1870 บาท |
WHART | Freehold & Leasehold | 8.01% | 0.1915 บาท |
LPF | Freehold & Leasehold | 6.84% | 0.2155 บาท |
AIMIRT | Freehold & Leasehold | 6.05% | 0.2867 บาท |
IMPACT | Freehold | 5.14% | 0.10 บาท |
WHAIR | Leasehold | 9.28% | 0.1372 บาท |
CPNREIT | Freehold & Leasehold | 6.97% | 0.3618 บาท |
LHHOTEL | Freehold & Leasehold | 6.56% | 0.30 บาท |
BAREIT | Freehold | 5.68% | 0.1810 บาท |
ALLY | Freehold & Leasehold | 14.41% | 0.1310 บาท |
5 กองทุนรวมที่ลงทุนในกองทรัสต์เพื่ออสังหาริมทรัพย์ (REIT)
- KT-PIF-SSF : กองทุนเปิดกรุงไทย พร็อพเพอร์ตี้ แอนด์ อินฟราสตรัคเจอร์ เฟล็กซิเบิ้ล (ชนิดเพื่อการออม)
- SCBPINP : กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ พร็อพเพอร์ตี้ แอนด์ อินฟราสตรัคเจอร์ เฟล็กซิเบิ้ล (ชนิดผู้ลงทุนกลุ่ม/บุคคล)
- ASP-PROPIN-A : กองทุนเปิด แอสเซทพลัส อสังหาริมทรัพย์และโครงสร้างพื้นฐาน เฟล็กซิเบิ้ล ชนิดสะสมมูลค่า
- KKP PROP : กองทุนเปิดเคเคพี พร็อพเพอร์ตี้ เซคเตอร์ ฟันด์
- PRINCIPAL iPROP-A : กองทุนเปิดพรินซิเพิล พร็อพเพอร์ตี้ อินคัม-ชนิดสะสมมูลค่า
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ REIT คืออะไร?
REIT มีกี่ประเภท?
REIT มี 2 ประเภท ได้แก่ 1. Freehold คือ กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ โดยการเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ และ 2. Leasehold คือ กองทรัสต์เพื่อลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ โดยเป็นลักษณะให้เช่ากับเจ้าของ
REIT ลงทุนยังไง?
นักลงทุนสามารถลงทุน REIT ผ่านนายหน้าซื้อขายที่จดทะเบียนบนตลาดหลักทรัพย์ โดยการซื้อขาย REIT จะเหมือนกับการซื้อขายหุ้นทั่วไป เพราะมีระยะเวลาในการซื้อขายนั่นเอง
กองทุน REIT ซื้อได้ที่ไหน?
สำหรับนักลงทุนที่สนใจซื้อกองทุน REIT สามารถซื้อได้ที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยผ่านนายหน้าได้โดยตรงค่ะ แต่สำหรับใครที่ต้องการกระจายความเสี่ยงจากการลงทุน สามารถซื้อขายหน่วยลงทุนได้ผ่านกองทุนรวมที่มีนโยบายการลงทุนในกอง REIT
สรุป REIT คืออะไร?
จากที่กล่าวไปข้างต้น จะเห็นได้ว่า ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ หรือ REIT เป็นหนึ่งในตัวเลือกการลงทุนที่น่าสนใจ สำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ แต่ใช้เงินลงทุนที่น้อยกว่าและมีผู้เชี่ยวชาญในการดูแลจัดการกองทุนได้อย่างมืออาชีพ
อย่างไรก็ดี การลงทุน REIT ก็มีความเสี่ยงและความท้าทายในการลงทุนเช่นเดียวกันค่ะ เนื่องจากลักษณะเด่น ๆ ของ REIT คือ การได้รับผลตอบแทนเป็นเงินปันผลหรือเป็นการรับกระแสเงินสดที่สม่ำเสมอ หากกองทุนไหนได้รายได้จากการเก็บค่าเช่าหรือขายหน่วยลงทุนได้เพิ่มมากขึ้น จะทำให้นักลงทุนได้รับผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นตามไปด้วย แต่หากกอง REIT เลือกลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่ทำเลไม่ดี มีคู่แข่งเยอะ และผลประกอบการของบริษัทไม่ได้ ก็อาจจะส่งผลให้กอง REIT ขาดทุนได้เช่นกันค่ะ
ดังนั้น ก่อนที่จะตัดสินใจเลือกกอง REIT คุณควรศึกษาเงื่อนไขและประเภทอสังหาริมทรัพย์ให้ดี เพราะแต่ละประเภทของอสังหาริมทรัพย์ก็มีความเสี่ยงที่แตกต่างกันออกไป อีกทั้งยังควรศึกษาสภาพเศรษฐกิจในช่วงนั้นด้วยนะคะ ด้วยความปรารถนาดีจากทีมงานคุณน้าพาเทรดค่ะ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก : Finnomena, SET, ก.ล.ต., ลงทุนแมน และกสิกรไทย
สำหรับใครที่สนใจอ่านรีวิวโบรกเกอร์ : Review Brokers
บทความในเรื่องการลงทุนที่น่าสนใจ : Investing
คลังความรู้จากคุณน้า : Knowledge