เราจะรู้ได้อย่างไรว่า กลยุทธ์หรือแผนการเทรดที่เราใช้มีประสิทธิภาพ หรือสามารถทำกำไรได้จริง? คุณน้ามีวิธีง่าย ๆ ที่จะทำให้เราคาดการณ์ผลลัพธ์คร่าว ๆ ได้ค่ะ นั่นก็คือ ROI แต่มันคืออะไร? มีประโยชน์อย่างไร? แล้วคำนวณยังไงกันนะ? บทความนี้ คุณน้าจะพาทุกคนไปทำความรู้จัก ROI ตัวชี้วัดผลกำไร – ขาดทุน เพื่อประเมินความคุ้มค่าของการลงทุนกันค่ะ
ROI คืออะไร?
ROI ย่อมาจาก Return on Investment คือ ผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับจากการลงทุน โดยการนำต้นทุนและผลกำไรมาประเมินประสิทธิภาพและคุ้มค่า ซึ่งทำให้เราทราบว่า การลงทุนครั้งนี้จะได้กำไรหรือขาดทุนนั่นเองค่ะ โดยความสำคัญของ ROI ที่มีต่อนักลงทุน คือ การเป็นตัวชี้วัดในการเปรียบเทียบ, แก้ไข หรือปรับปรุงแผนกลยุทธ์การลงทุนเพื่อให้ได้ผลลัพธ์สูงสุดค่ะ
สูตรวิธีการคำนวณ ROI คิดยังไง?
ในการจะหาค่า ROI มีสูตรวิธีการคำนวณ 2 แบบ ดังนี้ค่ะ
สูตรวิธีการคำนวณ ROI ที่ 1 |
ROI = (มูลค่าปัจจุบัน – ต้นทุน / ต้นทุน) x 100 |
สูตรวิธีการคำนวณ ROI ที่ 2 |
ROI = (ผลตอบแทนสุทธิ / ต้นทุน) x 100 |
ตัวอย่างการคำนวณ ROI
สมมติว่า คุณน้าลงทุนในหุ้นบริษัท A เป็นจำนวนเงิน 10,000 บาท เมื่อเวลาผ่านไปครึ่งปีคุณน้าจึงขายหุ้นนี้ออกไปด้วยมูลค่า 12,000 บาท หากคำนวณ ROI จะได้ดังนี้ค่ะ
สูตรวิธีการคำนวณ ROI ที่ 1
ROI = (มูลค่าปัจจุบัน – ต้นทุน / ต้นทุน) x 100
หากใช้สูตรในการคำนวณที่ 1 ROI จะเท่ากับ (12,000 – 10,000 / 10,000) x 100 = 20%
สูตรวิธีการคำนวณ ROI ที่ 2
ROI = (ผลตอบแทนสุทธิ / ต้นทุน) x 100
หากใช้สูตรในการคำนวณที่ 2 ROI จะเท่ากับ (2,000 / 10,000) x 100 = 20%
จากผลลัพธ์แสดงว่า การลงทุนหุ้นบริษัท A ของคุณน้าจะมีค่า ROI อยู่ที่ 20% ซึ่งเป็นผลบวก หมายความว่า การลงทุนครั้งนี้ได้กำไรหรือคุ้มค่านั่นเองค่ะ
ROI เท่าไหร่ถึงจะดี?
ROI เป็นตัวชี้วัดผลการลงทุน ซึ่งจะถูกคำนวณออกมาเป็นเปอร์เซ็นต์เพื่อให้ง่ายต่อการพิจารณาผลลัพธ์ แต่อย่างไรก็ดี ROI สามารถเป็นได้ทั้งค่าบวกและลบ ดังนี้ค่ะ
ROI บวก
หากค่า ROI ออกมาเป็นผลบวก (0 – 100%) หมายถึง การลงทุนนั้นคุ้มค่า ยิ่งค่าสูงยิ่งหมายถึงผลกำไรที่สูงตามไปด้วย นั่นแสดงว่า แผนการลงทุนนี้มีประสิทธิภาพค่ะ
ROI ลบ
หากค่า ROI ออกมาเป็นผลลบ (น้อยกว่า 0%) หมายถึง การลงทุนนั้นไม่คุ้มค่า ยิ่งค่าต่ำยิ่งหมายถึงขาดทุนมาก นั่นแสดงว่า แผนการลงทุนนี้ไม่มีประสิทธิภาพค่ะ
ROI กับ IRR ต่างกันอย่างไร?
หลังจากเริ่มศึกษามาสักพัก หลายคนอาจสับสนสูตรในการคำนวณหาผลตอบแทนจากการลงทุน เพราะสูตรบางสูตรอาจมีวัตถุประสงค์คล้ายกัน ซึ่ง ROI ก็เช่นกันค่ะ โดยคนมักจะเกิดความสับสนระหว่าง ROI กับ IRR ว่าทั้ง 2 มีความต่างกันอย่างไร? ดังนั้น คุณน้าจะมาสรุปให้ค่ะ
ROI (Return on Investment) |
ROI (Return on Investment) คือ อัตราผลตอบแทนจากการลงทุน ใช้วัดประสิทธิภาพและความคุ้มค่าในการลงทุนตั้งแต่ต้นจนจบการซื้อขาย เพื่อคำนวณความสามารถในการทำกำไรของนักลงทุนอย่างง่ายค่ะ |
IRR (Internal Rate of Return) |
IRR (Internal Rate of Return) คือ อัตราผลตอบแทนภายใน ใช้วัดประสิทธิภาพและผลตอบแทนของการลงทุนในช่วงเวลาที่กำหนด ส่วนมากคำนวณแบบรายปี ดังนั้น IRR จึงถูกใช้คาดการณ์อัตราการเติบโตต่อปีของการลงทุน เพื่อกำหนดศักยภาพในการทำกำไรต่อไปค่ะ |
ข้อดีและข้อจำกัดของ ROI
อย่างไรก็ดี ROI มีข้อดีและข้อจำกัดในการใช้งานดังต่อไปนี้ค่ะ
ข้อดี
- ใช้ประเมินประสิทธิภาพและความคุ้มค่าในการลงทุน
- ใช้เปรียบเทียบแผนหรือกลยุทธ์ในการลงทุน
- คำนวณง่าย ไม่ซับซ้อน ไม่เก่งคณิตก็ทำได้
- เหมาะกับการลงทุนหลายประเภท หรือจะใช้ในการทำธุรกิจก็ได้
ข้อจำกัด
- อาจต้องพิจารณาปัจจัยอื่น ๆ ประกอบ เพราะ ROI ไม่ครอบคลุมระยะเวลา, ความเสี่ยงในการลงทุน, สภาวะตลาด หรือตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจ
- ROI ใช้คาดการณ์กำไรและขาดทุนจากส่วนต่างของราคาเท่านั้น ไม่ได้วัดผลตอบแทนหรือสิทธิประโยชน์อื่น ๆ จากการลงทุน
สรุป ROI คืออะไร
สรุป ROI คือ การคำนวณผลตอบแทนจากการลงทุนที่คาดว่าเราจะได้รับด้วยตัวแปรอย่างง่ายเพียง 2 ตัว คือ ต้นทุนและผลตอบแทน ทำให้เราสามารถประเมินได้ว่า การลงทุนครั้งนี้จะได้ “กำไร” หรือ “ขาดทุน” ค่ะ ซึ่งค่า ROI สามารถบอกได้ว่า แผนหรือกลยุทธ์ในการลงทุนของเรามีประสิทธิภาพหรือไม่ ทำให้เราสามารถนำไปปรับแก้ได้ต่อไปนั่นเองค่ะ
ขอบคุณข้อมูลจาก : Mtrading และ Zipmex
บทความในเรื่องการลงทุนที่น่าสนใจ : Investing
คลังความรู้จากคุณน้า : Knowledge