เป็นข่าวตั้งแต่สัปดาห์ที่ผ่านมาแล้วนะคะ สำหรับกรณีการล่มสลายหรือพูดง่าย ๆ ก็คือสั่งปิดจนเจ๊งอย่างธนาคาร Silicon Valley Bank หรือ SVB แต่หลายคนอาจจะยังไม่รู้สาเหตุว่า Silicon Valley Bank ล่มเพราะอะไร
วันนี้คุณน้าเลยมีสรุปเหตุการณ์แบบง่าย ๆ มาให้ลองอ่านกัน โดยคุณน้าคิดว่าใช้เวลาในการอ่านไม่เกิน 5 นาทีแน่นอนค่ะ ถ้าพร้อมแล้วก็เริ่มกันเล้ยย
ทำความรู้จัก Silicon Valley Bank
Silicon Valley Bank (SVB) เป็นธนาคารพาณิชย์ที่ได้รับอนุญาตจากรัฐซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมืองซานตาคลารา รัฐแคลิฟอร์เนียค่ะ
ซึ่งใหญ่เป็นอันดับ 16 ในประเทศสหรัฐฯ เลย และกลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่เป็นธุรกิจ Start up
การล่มสลายของ Silicon Valley Bank
จุดเริ่มต้น : ระบบโครงสร้างของธนาคาร Silicon Valley Bank
จุดเริ่มต้นของวิกฤตครั้งนี้ เหมือนกับภูเขาไฟที่รอวันปะทุค่ะ เพราะอันที่จริงมีปัญหาตั้งแต่ระบบโครงสร้างของธนาคารเลย ถ้าจะให้เห็นภาพง่าย ๆ คงต้องบรรยายวิธีการทำธุรกิจของ Silicon Valley Bank ดังนี้ค่ะ
FED เริ่มปรับนโยบายรับมือเงินเฟ้อ
- แต่พอช่วงปี 2022 ที่ทางธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือที่เรารู้จักกันดีในนาม FED ก็เริ่มการปรับนโยบายทางการเงิน โดยเริ่มขึ้นดอกเบี้ย เพื่อเป็นการแก้ปัญหาเงินเฟ้อ
ซึ่งโดยปกติแล้ว อัตราดอกเบี้ยจะแปรผกผันกับราคาตราสารหนี้เสมอ และเมื่อปกติดอกเบี้ยสหรัฐฯ ที่เคยต่ำจนเกือบ 0 เปอร์เซ็นต์ ก็แปรตามทฤษฎีได้เลยว่า ตราสารหนี้จะต้องราคาสูงใช่มั้ยคะ แล้วพอ FED เริ่มมาขึ้นดอกเบี้ย ก็แปลว่าตราสารหนี้จะต้องลดลง เพราะดอกเบี้ยขึ้น ก็เลยทำให้ SVB เริ่มสั่นคลอนอย่างหนักมาตั้งแต่ปีที่แล้วค่ะ
ดอกเบี้ยสูง นักลงทุนเริ่มถอนเงินเพื่อใช้เป็นทุนหมุนเวียน
- พอดอกเบี้ยสูงขึ้นรวมไปถึงเกิดเงินเฟ้อในสหรัฐฯ แน่นอนว่าลูกค้าที่เคยมาฝากเงินก็จะต้องมีการมาถอนเงินที่เคยฝากไว้ออกไป เพื่อดูแลรวมถึงสำรองสำหรับกิจการตัวเองใช่มั้ยคะ พอลูกค้ามาถอนพร้อมกัน หรือที่เรียกกันว่า Bank Run นั่นเองค่ะ
- และเนื่องจาก SVB เป็นธนาคารที่นำเงินฝากของลูกค้าไปลงทุนในหลักทรัพย์ระยะยาวแบบที่บอก แน่นอนว่าเงินสดที่ทางธนาคารถือไว้นั้นมีไม่มากพอกับจำนวนที่ลูกค้าพากันมาแห่ถอน เลยต้องนำพันธบัตรที่ซื้อเก็บไว้มาขายค่ะ
เงินสดสำรองของ SVB ไม่เพียงพอต่อลูกค้า สู่การถูกปิดกิจการ
- อย่างที่คุณน้าบอกไป ถ้าดอกเบี้ยขึ้น ตราสารหนี้ลด แปลว่ามูลค่าพันธบัตรที่นำมาขายก็ลดลงด้วย ก็เลยทำให้ Silicon Valley Bank ขาดทุนจุก ๆ ไปประมาณ 1,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แต่ก็ยังไม่พอจะคืนค่ะ SVB เลยใช้อีกวิธีในการแก้ปัญหาด้วยคือ ขอระดมทุนเพื่อเพิ่มทุนอีก
แต่พอเกิดข่าวที่ว่า Silicon Valley Bank ที่เป็นธนาคารใหญ่อันดับ 16 ของสหรัฐฯ สั่นคลอนขนาดนี้ แน่นอนว่าสร้างความกังวลให้นักลงทุนและบริษัทที่ฝากเงินไว้ค่ะ ก็เกิด Bank Run ครั้งใหญ่ไปอีก พอลูกค้าแห่มาถอน ธนาคารมีไม่พอ ลูกค้าเลยได้รับเงินคืนเพียง 250,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่านั้น ตามที่องค์กรเงินฝากสหรัฐฯ คุ้มครอง เพราะความล้มเหลวในการวางแผนและบริหารของ SVB จึงถูกพิจารณาว่าไม่สามารถนำเงินมาคืนได้ เลยถูกสั่งปิดกิจการไปค่ะ
ลูกค้าคลายความกังวลได้บ้าง หลัง FED เข้าช่วยรับผิดชอบ
ท้ายที่สุด FED ก็ได้เป็นพระเอกขี่ม้าขาว เข้ามาจัดการเรื่องนี้ โดยจะคุ้มครองเงินฝากทุกคนแบบเต็มจำนวน รวมถึงมีงบฉุกเฉินให้อีกด้วย แบบนี้นักลงทุนก็พอจะเบาสบายใจไปได้บ้างแล้วละค่ะ
เรื่องนี้ส่งผลอย่างไรบ้าง ?
พอความน่าเชื่อถือของธนาคารชื่อดังลดลง คนก็แห่ถอนเงินและไปลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัยค่ะ ดูอย่างทองคำที่ทะยานขึ้นสู่ 1988 ที่เรียกได้ว่า ATH ของปีนี้ นอกจากนี้ยังส่งผลไปยังตลาดสกุลเงินดิจิทัลด้วย เพราะทำให้ราคา Stable Coin ผันผวนอยู่ซักพักเลยค่ะ ถึงตอนนี้จะราคาเท่าเดิมแล้ว แต่เมื่อการที่ Stable Coin ที่ถูกประเมินว่าราคาจะตึงอยู่กับค่าใดค่าหนึ่ง ยังสามารถผันผวนได้ แล้วแบบนี้จะทำให้นักลงทุนเชื่อมั่นได้ยังไง จริงมั้ยล่ะคะ
เพราะฉะนั้น ใครที่จะกำลังลงทุนในช่วงนี้ อย่าลืมพิจารณาถึงความเสี่ยง และบริหารเงินทุนให้ดีนะคะ ด้วยความเป็นห่วงจากคุณน้าพาเทรดค่ะ
