ประกันชีวิตแบบไหนดี? คงเป็นคำถามที่เกิดขึ้นได้กับใครหลาย ๆ คน เพราะการเจ็บป่วยและความตายเป็นสิ่งที่ใกล้ตัวเรามากกว่าที่คิด ไม่รู้ว่าทุกคนจะคิดแบบคุณน้ามั้ย? แต่สำหรับคุณน้า เรื่องเจ็บป่วยเป็นเรื่องที่สามารถเกิดขึ้นได้บ่อย ๆ ทำให้เราได้ลิ้มรสว่า การไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐจริง ๆ ค่ะ และช่วงที่เราเจ็บป่วยนี้เองที่ทำให้เราเห็นคุณค่าของการทำประกันขึ้นมาบ้าง แต่ในปัจจุบันประกันมีหลากหลายแบบ ไม่ว่าจะเป็นประกันชีวิตหรือประกันสุขภาพ เป็นต้น ซึ่งเราจะรู้ได้อย่างไรว่า ประกันที่เหมาะกับเรานั้นเป็นแบบไหน?
ดังนั้น ในวันนี้คุณน้าจะพาทุกคนมารู้จักกับประกันชีวิตให้มากยิ่งขึ้น โดยการเลือกประกันชีวิตแบบไหนดี? วิธีเลือกซื้อประกันให้ได้สิทธิประโยชน์สูงสุด ปี 2567 เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจและเหมาะกับการวางแผนการใช้ชีวิตของคุณ ว่ากันแล้วก็มาเริ่มได้เลยค่ะ!
ประกันภัย คืออะไร ?
ประกันภัย คือ เครื่องมือบริหารความเสี่ยงชนิดหนึ่งที่จะช่วยบรรเทาความเดือดร้อน เมื่อเกิดความเสียหายแก่ชีวิตและทรัพย์สิน ซึ่งผู้เอาประกันจะทำธุรกรรมไว้กับบริษัทประกันเป็นผู้รับผิดชอบต่อความเสี่ยงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับเรานั่นเองค่ะ โดยปกติแล้ว ความคุ้มครองของประกันภัยจะขึ้นอยู่กับประเภทของประกันที่ผู้เอาประกันได้ทำไว้ ซึ่งจะแตกต่างกันตามนโยบายของบริษัทประกัน
ประกันภัย มีกี่ประเภท ?
โดยปกติแล้ว ประกันภัยจะแบ่งออกเป็น 3 ประเภทค่ะ ซึ่งมีรายละเอียด ดังต่อไปนี้
- ประกันภัยบุคคล (Insurance of the Person) : เป็นการทำประกันภัยที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่ตัวบุคคล โดยสามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ประกันชีวิต, ประกันอุบัติเหตุ และประกันสุขภาพ
- ประกันภัยที่เกี่ยวกับทรัพย์สิน (Property Insurance) : เป็นการทำประกันภัยที่ให้ความคุ้มครองเกี่ยวกับความเสียหายของทรัพย์สินและให้การคุ้มครองสินทรัพย์ โดยสามารถแบ่งออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่การประกันภัยทางทะเลและขนส่ง, ประกันภัยรถยนต์, ประกันภัยทางอัคคีภัย และประกันภัยเบ็ดเตล็ด
- ประกันภัยเกี่ยวกับความรับผิดตามกฎหมาย (Liability Insurance) : เป็นประกันภัยที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายที่เกิดจากความประมาทของผู้เอาประกัน ซึ่งทำให้คนอื่นบาดเจ็บ, ทุพพลภาพ หรือเสียชีวิต โดยสามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ ประกันภัยความรับผิดชอบวิชาชีพ, ประกันภัยความรับผิดชอบต่อผลิตภัณฑ์ และประกันภัยความรับผิดชอบต่อสาธารณะ
ประกันชีวิต คืออะไร ?
ประกันชีวิต หรือ Life Insurance คือ ประกันชนิดหนึ่งที่ให้ความคุ้มครองเกี่ยวกับชีวิต กล่าวคือ เมื่อผู้เอาประกันเสียชีวิตจากเหตุที่ระบุไว้ตามกรมธรรม์ บริษัทประกันจะมีการจ่ายเงินชดเชยให้แก่ผู้รับผลประโยชน์ตามสัญญาที่ระบุไว้ ซึ่งบริษัทประกันจะจ่ายเงินเอาประกันจำนวนหนึ่งให้แก่ผู้รับผลประโยชน์ ซึ่งจะขึ้นอยู่กับเงื่อนไขความคุ้มครองที่ผู้เอาประกันได้ทำไว้ในกรมธรรม์นั่นเองค่ะ
ประเภทของประกันชีวิต มีอะไรบ้าง ?
โดยประกันชีวิตสามารถแบ่งได้ 4 ประเภทหลัก ๆ ดังต่อไปนี้ค่ะ
- ประกันชีวิตตลอดชีพ : เป็นประกันชีวิตที่เน้นให้การคุ้มครองในระยะยาว โดยผู้เอาประกันจะต้องจ่ายเบี้ยประกันในระยะเวลาที่บริษัทกำหนด เช่น 2 ปี, 10 ปี และ 20 ปี เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ประกันชีวิตลักษณะนี้ จะให้ความคุ้มครองตลอดชีพ
- ประกันชีวิตแบบชั่วระยะเวลา : เป็นประกันที่เน้นให้ความคุ้มครองในระยะสั้น ซึ่งผู้เอาประกันจะจ่ายเบี้ยประกันตามระยะเวลาที่ให้การคุ้มครอง เช่น 2 ปี หรือ 5 ปี เป็นต้น โดยประกันชีวิตลักษณะนี้จะให้ความคุ้มครองตามระยะเวลาที่กำหนดเท่านั้น เมื่อสิ้นสุดระยะเวลาให้ความคุ้มครอง แล้วผู้เอาประกันยังมีชีวิตอยู่ก็จะถือว่ากรมธรรม์ฉบับนี้สิ้นสุดลงและผู้เอาประกันจะไม่ได้รับผลตอบแทนใด ๆ เพราะประกันชีวิตแบบชั่วระยะเวลาเป็นการจ่ายเบี้ยประกันทิ้งนั่นเอง
- ประกันชีวิตสะสมทรัพย์ : เป็นประกันภัยที่เป็นส่วนผสมระหว่างการคุ้มครองชีวิตและการออมทรัพย์นั่นเองค่ะ โดยการให้ความคุ้มครองจะอยู่ภายใต้ระยะเวลาที่กำหนด ส่วนการออมทรัพย์ คือ ส่วนที่ผู้เอาประกันภัยจะได้รับคือเมื่อสัญญาครบกำหนด
- ประกันบำนาญ หรือประกันชีวิตแบบเงินได้ประจำ : เป็นประกันชีวิตที่บริษัทจะจ่ายให้แก่ผู้เอาประกันในจำนวนเงินเท่า ๆ กันในทุกปี เมื่อผู้เอาประกันเกษียณอายุหรือครบอายุครบตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ในสัญญา
บทความที่เกี่ยวข้องกับการวางแผนการใช้ชีวิตเพิ่มเติม :
- ไม่อยากเสียสิทธิต้องอ่าน ! ประกันสังคมมีประโยชน์อย่างไร ?
- ภ.ง.ด.90 / 91 / 94 คืออะไร ต้องยื่นอันไหน ต่างกันอย่างไร ?
- วางแผนเกษียณยังไง ? ให้สบายใจในอนาคต วางแผนง่าย ๆ ฉบับมนุษย์เงินเดือน
- Tips วางแผนลดหย่อนภาษีออนไลน์ รับสิทธิประโยชน์ x2
- วางแผนยื่นภาษีออนไลน์ฉบับมนุษย์เงินเดือน รู้ก่อนได้เปรียบ!
บริษัทประกันชีวิตได้กำไรจากไหน?
หากถามว่า บริษัทประกันจะได้อะไรจากเรา? ในเมื่อคนเรายังไงก็ต้องเสียชีวิตอยู่แล้ว คำตอบก็คือ “เบี้ยประกัน” ค่ะ เพราะผู้เอาประกันจะต้องส่งเบี้ยประกันทุกปีตลอดอายุสัญญา ซึ่งเงินส่วนนี้จะถูกนำไปใช้หมุนเวียนเพื่อการลงทุนและใช้จ่ายเพื่อดำเนินธุรกิจต่อไปนั่นเองค่ะ
และไม่ต้องห่วงว่า บริษัทประกันจะขาดทุนจนล้มละลายไม่มีเงินจ่ายเราเลยค่ะ เพราะบริษัทประกันมีเกณฑ์ในการประเมินความเสี่ยงผู้เอาประกัน ดังนั้นจึงไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถทำประกันชีวิตได้ อีกทั้งหากเหตุที่เกิดขึ้นไม่เข้าเกณฑ์ก็อาจจะไม่ได้รับเงินชดเชยด้วยค่ะ นอกจากนี้ กรมธรรม์ประกันชีวิตยังมีอายุสัญญาแตกต่างกัน หากผู้เอาประกันไม่ได้เสียชีวิตในช่วงสัญญาก็จะไม่ได้รับเงินชดเชยตามสัญญา แต่จะได้รับเป็นเงินทุนที่ใช้เอาประกันแทนค่ะ
ประกันชีวิตมีความสำคัญอย่างไร?
บางคนอาจจะมองว่า ตัวเองอายุยังน้อยและความตายเป็นเรื่องที่ไกลตัว โดยประกันชีวิตเป็นเรื่องที่ไกลตัว แต่คุณน้าขอแนะนำว่า ในอนาคตไม่แน่นอนและสามารถเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดได้ตลอดเวลาค่ะ ดังนั้น คุณน้าจะพาทุกคนไปดูความสำคัญของประกันชีวิตกันว่า ประกันชีวิตมีความสำคัญอย่างไร? โดยสามารถแบ่งออกเป็น 3 ปัจจัยสำคัญ ดังต่อไปนี้
1. เครื่องมือในการบริหารความเสี่ยง
ประกันชีวิตสามารถใช้เป็นหลักประกันให้กับคนในครอบครัวได้ค่ะ เพราะหากเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น เงินชดเชยที่ได้จากประกันชีวิตจะถูกใช้เป็นมรดกหรือทุนไว้ให้แก่ครอบครัวหรือคนรักของเราได้ โดยปกติแล้ว ทุกคนจะมีภาระหน้าที่แตกต่างกัน ซึ่งหากไม่มีภาระหรือคนที่ต้องดูแลก็แล้วไป แต่หากคุณเป็นเสาหลักในการหาเลี้ยงครอบครัว ประกันชีวิตก็ถือเป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงได้ดียิ่งขึ้น
นอกจากนี้ ประกันชีวิตยังสามารถใช้เป็นหลักประกันในการกู้ยืมได้ ทั้งจากการกู้เงินตามกรมธรรม์จากบริษัทประกันซึ่งมีดอกเบี้ยไม่สูงมาก และการนำเงินชดเชยที่ได้รับเมื่อเสียชีวิตมาใช้หนี้ เรียกได้ว่า คนข้างหลังไม่ต้องลำบากใช้หนี้ต่อจากเราเลยค่ะ
2. การออมทรัพย์และการลงทุน
การทำประกันนั้น ผู้เอาประกันจะต้องส่งเบี้ยประกันติดต่อกันทุกปีตามอายุสัญญา ซึ่งเงินจำนวนดังกล่าวก็ไม่ใช่น้อย ๆ เลยค่ะ ดังนั้น การทำประกันชีวิตจึงถือเป็นการฝึกวินัยการออมทรัพย์ได้เช่นกัน อีกทั้ง หากครบกำหนดสัญญาแล้วเรายังมีชีวิตอยู่ก็จะได้เงินต้นคืนพร้อมกับดอกเบี้ย นับเป็นการลงทุนระยะยาวที่ได้ผลตอบแทนแน่นอน ความเสี่ยงต่ำ แถมยังได้ความคุ้มครองด้วยค่ะ
3. สิทธิประโยชน์ทางภาษี
ผลประโยชน์ของประกันชีวิตที่ไม่ควรมองข้าม คือ สิทธิประโยชน์ในการลดหย่อนภาษี เพราะเบี้ยที่ใช้จ่ายประกันชีวิตนั้นสามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ตามจริงสูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท ส่วนประกันแบบบำนาญสูงสุด 200,000 บาท โดยทั้ง 2 แบบมีข้อจำกัด คือ ต้องเป็นบริษัทประกันในไทย และมีระยะคุ้มครอง 10 ปีขึ้นไปค่ะ สามารถติดตามการวางแผนลดหย่อนภาษีได้ที่นี่
วิธีการเลือกซื้อประกันชีวิตให้ได้สิทธิประโยชน์สูงสุด
ประกันชีวิตมีหลายประเภท แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่า ตัวเองเหมาะกับประกันแบบไหน วันนี้คุณน้าจะพาทุกคนไปดูวิธีการเลือกซื้อประกันชีวิตกันค่ะ
1. ศึกษาประกันชีวิตแต่ละประเภท
อันดับแรกเลย ทุกคนต้องทำความรู้จักประกันชีวิตแต่ละประเภทกันก่อนค่ะ ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
- ประกันชีวิตตลอดชีพ
ประกันชีวิตตลอดชีพเป็นการจ่ายเบี้ยประกันระยะยาวเพื่อแลกกับความคุ้มครองตลอดชีวิต (หรือจนถึงอายุ 99 ปี) เรียกได้ว่า ถือกรมธรรม์เล่มเดียวจบ ไม่ต้องทำประกันชีวิตใหม่เมื่อครบสัญญา
ประกันชีวิตรูปแบบนี้ ค่อนข้างเหมาะกับผู้ที่ต้องการบริหารความเสี่ยงอย่างผู้ที่เป็นเสาหลักของครอบครัว และมีความสามารถในการจ่ายเบี้ยประกันในระยะยาวได้ เนื่องจากประกันชีวิตตลอดชีพมักจะมีเบี้ยประกันแบบคงที่ ณ ช่วงอายุที่เอาประกัน และครอบคลุมปัจจัยต่าง ๆ ทำให้มีค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูงค่ะ
- ประกันชีวิตแบบชั่วระยะเวลา
ประกันชีวิตแบบชั่วระยะเวลาเป็นการจ่ายเบี้ยประกันในช่วงระยะเวลาที่ทำสัญญา อาจจะเป็น 5 ปี, 10 ปี หรือ 15 ปี ขึ้นอยู่กับกรมธรรม์ หากหมดสัญญาแล้วยังต้องการความคุ้มครองก็ต้องทำใหม่ค่ะ
ประกันชีวิตรูปแบบนี้ ค่อนข้างเหมาะกับผู้ที่ต้องการความคุ้มครองในช่วงระยะเวลาหนึ่ง หรือผู้ที่มีความเสี่ยงสูง ทำให้อาจไม่สามารถหาเงินมาชำระเบี้ยประกันในระยะยาวได้ เพราะเบี้ยประกันชีวิตแบบชั่วระยะเวลานี้มักจะถูกกว่าเบี้ยประกันตลอดชีพนั่นเองค่ะ
- ประกันชีวิตสะสมทรัพย์
ประกันชีวิตสะสมทรัพย์เป็นการจ่ายเบี้ยประกันในช่วงระยะเวลาที่ทำสัญญาเช่นเดียวกับประกันชีวิตแบบชั่วระยะเวลา แต่มีความโดดเด่นอยู่ที่เงินคืน ซึ่งจะมีจำนวนสูงกว่าประกันชีวิตรูปแบบอื่น ๆ ทำให้มันได้รับความนิยมเป็นอย่างมากค่ะ
ประกันชีวิตรูปแบบนี้ค่อนข้างเหมาะกับผู้ที่ต้องการลงทุนแต่รับความเสี่ยงได้น้อย หรือผู้ที่ต้องการวางแผนทางการเงินควบคู่กับการคุ้มครองค่ะ
- ประกันบำนาญ
ประกันบำนาญ หรือประกันชีวิตแบบเงินได้ประจำเป็นการจ่ายเบี้ยประกันในช่วงระยะเวลาที่ทำสัญญาหรือจนกว่าจะเกษียณ ขึ้นอยู่กับกรมธรรม์ โดยผู้เอาประกันจะเริ่มทยอยได้รับเงินคืนหลังจากเกษียณอายุจนถึงอายุที่กรมธรรม์กำหนด ดังนั้น เราจึงเรียกประกันชีวิตรูปแบบนี้ว่า ประกันบำนาญค่ะ
ประกันชีวิตรูปแบบนี้ค่อนข้างเหมาะกับผู้ที่ต้องการวางแผนเกษียณ ทำให้หมดห่วงว่าจะไม่มีเงินบำนาญเมื่อแก่ตัวไปค่ะ
2. พิจารณาอายุ
อายุ เป็นสิ่งที่ควรนำมาพิจารณาในการเลือกประกันเป็นลำดับแรก ๆ เพราะอายุที่แตกต่างกันจะส่งผลต่อเบี้ยประกันและตัวเลือกแผนประกันที่แตกต่างกันค่ะ อีกทั้ง อายุยังใช้เป็นเกณฑ์ในการพิจารณาภาระต่าง ๆ ได้ เพราะคนที่อายุยังน้อยส่วนมากจะไม่ค่อยมีภาระมากนัก ขณะที่อายุมากขึ้นจะเริ่มมีภาระต่าง ๆ มากขึ้น ทำให้ส่งผลต่อความสามารถในการจ่ายเบี้ยประกันค่ะ
3. พิจารณาความเสี่ยง
ปัจจัยในข้อนี้สำคัญต่อการเลือกประกันมาก เพราะคนเรามีความเสี่ยงแตกต่างกัน ซึ่งประกอบด้วยความเสี่ยงดังต่อไปนี้ค่ะ
- ความเสี่ยงด้านสุขภาพ อาจเกิดจากกรรมพันธุ์, วิถีชีวิต และสิ่งแวดล้อม ซึ่งหากคุณคิดว่า ตัวเองกำลังเผชิญความเสี่ยงเหล่านี้ การเลือกประกันชีวิตควบประกันสุขภาพ หรือประกันสุขภาพก็อาจจะตอบโจทย์มากกว่าค่ะ
- ความเสี่ยงด้านรายได้ หากเป็นคนที่มีงานประจำทำหรือมีรายได้หลายทางย่อมมีความมั่นคงมากกว่าผู้ที่รับจ้างชั่วคราวหรือผู้ทำงานอิสระ เนื่องจากรายได้อาจเกิดความไม่แน่นอน ดังนั้น เราจึงควรเลือกแผนประกันที่สอดคล้องกับรายได้ของตัวเองนั่นเองค่ะ
- ความเสี่ยงด้านความสามารถในการชำระเบี้ยประกัน เนื่องจากคนเรามีสภาพคล่องและภาระแตกต่างกัน บางคนอาจจะเป็นเสาหลักในการหาเลี้ยงครอบครัว บางคนอาจจะมีการกู้ยืมเงินเพื่อซื้อยานพาหนะหรือที่อยู่อาศัย หรือภาระค่าใช้จ่ายและหนี้สินอื่น ๆ ซึ่งอาจส่งผลกระทบให้ไม่สามารถจ่ายเบี้ยประกันได้ ดังนั้น อย่าลืมประเมินความเสี่ยงในด้านนี้ คิดถึง Worst Case ที่อาจเกิดขึ้น เพื่อประกอบการเลือกแผนประกันก็ได้ค่ะ
4. พิจารณาความคุ้มครองและสิทธิประโยชน์
ประกันชีวิตแน่นอนว่าย่อมให้ความคุ้มครองชีวิต แต่อย่างไรก็ดี บริษัทประกันในปัจจุบันได้ออกแบบแผนประกันมาอย่างมากมายหลากหลาย ตัวอย่างเช่น ประกันชีวิตควบการลงทุน และประกันชีวิตควบประกันสุขภาพ เป็นต้น ดังนั้น เราจึงควรเลือกแผนประกันที่เหมาะกับตัวเองมากที่สุดค่ะ
หากพิจารณาตามปัจจัยในข้างต้น คนที่อายุยังน้อยดูเหมือนตัวเลือกจะเยอะและหลากหลายกว่า ดังนั้น หากเป็น First Jobber ที่ไม่มีความเสี่ยงหรือภาระต่าง ๆ มากนัก มั่นใจว่าจ่ายเบี้ยประกันไหว ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ก็อาจเป็นตัวเลือกที่ดีค่ะ เพราะนอกจากจะช่วยสร้างวินัยในการออมได้แล้ว ยังช่วยลดหย่อนภาษีด้วย
แต่หากคุณมีความเสี่ยงด้านสุขภาพ ประกันชีวิตควบประกันสุขภาพก็ดูเหมือนจะเป็นทางเลือกที่ดีเช่นกัน ดังนั้น เราจึงควรพิจารณาความเสี่ยงของตนเองให้รอบด้าน จากนั้นค่อยมาดูความคุ้มครองและสิทธิประโยชน์ที่เหมาะกับตัวเองค่ะ
ตัวอย่างแผนประกันชีวิตที่ได้รับความนิยม ปี 2567
ต่อไปนี้ คือ แผนประกันชีวิตที่ได้รับความนิยม ปี 2567 โดยคุณน้าได้รวบรวม 5 แผนประกันชีวิตที่น่าสนใจจะมีแผนไหนบ้าง? เราไปดูกันค่ะ!
ประกันชีวิตแบบไหนดี : AIA Excellent (Non Par) ประกันชีวิตเพื่อการสะสมทรัพย์
ประกันชีวิตประเภท : ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์
ระยะเวลาชำระเบี้ยประกัน : 20 ปี
ระยะเวลาคุ้มครอง : 20 ปี
ช่วงอายุผู้ขอเอาประกัน : 15 วัน – 75 ปี
จำนวนเงินเอาประกันขั้นต่ำ : 100,000 บาท
ตัวอย่างสิ่งที่คุณจะได้รับ : รับเงินคืนงวดแรก 10% ของจำนวนเงินเอาประกันภัยเริ่มต้น ในทุก 4 ปี และจะได้รับการยกเว้นการชำระเบี้ยประกัน เมื่อเกิดกรณีทุพพลภาพสิ้นเชิงถาวร ก่อนอายุ 60 ปี
ประกันชีวิตแบบไหนดี : MTL เมืองไทยประกันชีวิต (mDesign ความสุขทุกช่วงชีวิตที่ออกแบบได้)
ประกันชีวิตประเภท : ประกันชีวิตควบการลงทุน
ระยะเวลาชำระเบี้ยประกัน : ถึงอายุ 99 ปี
ระยะเวลาคุ้มครอง : ถึงอายุ 99 ปี
ช่วงอายุผู้ขอเอาประกัน : 30 วัน – 70 ปี
จำนวนเงินเอาประกันขั้นต่ำ : 20,000 บาท (สำหรับรายปี)
ตัวอย่างสิ่งที่คุณจะได้รับ : บริหารพอร์ตการลงทุนด้วยผู้เชี่ยวชาญมืออาชีพ และสามารถปรับพอร์ตการลงทุนได้อย่างทันทุกสถานการณ์
ประกันชีวิตแบบไหนดี : ไทยประกันชีวิต (ไทยประกันชีวิต คุ้มธนกิจ 90/7)
ประกันชีวิตประเภท : ประกันชีวิตแบบชั่วระยะเวลา
ระยะเวลาชำระเบี้ยประกัน : 7 ปี
ระยะเวลาคุ้มครอง : ถึงอายุ 90 ปี
ช่วงอายุผู้ขอเอาประกัน : 1 เดือน – 65 ปี
จำนวนเงินเอาประกันขั้นต่ำ : 300,000 บาท
ตัวอย่างสิ่งที่คุณจะได้รับ : ครบกำหนดสัญญารับ 100% ของจำนวนเงินเอาประกันภัยและรับ 100% ของจำนวนเงินเอาประกันภัย ในกรณีที่เกิดเสียชีวิต
ประกันชีวิตแบบไหนดี : ไทยสมุทร (รีไทร์ เรดดี้ 85/55)
ประกันชีวิตประเภท : ประกันบำนาญ
ระยะเวลาชำระเบี้ยประกัน : ถึงอายุ 55 ปี
ระยะเวลาคุ้มครอง : ถึงอายุ 85 ปี
ช่วงอายุผู้ขอเอาประกัน : 20 ปี – 50 ปี
จำนวนเงินเอาประกันขั้นต่ำ : 100,000 บาท
ตัวอย่างสิ่งที่คุณจะได้รับ : รับเงินบำนาญ 15% ต่อปี ตั้งแต่อายุ 55 ปี- 85 ปี รวมทั้งสามารถนำเบี้ยประกันชีวิตไปลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 300,000 บาท
ประกันชีวิตแบบไหนดี : กรุงเทพประกันชีวิต (ห่วงรัก พรีเมียร์ 9901 มีเงินปันผล)
ประกันชีวิตประเภท : ประกันชีวิตตลอดชีพ
ระยะเวลาชำระเบี้ยประกัน : ครั้งเดียว
ระยะเวลาคุ้มครอง : ถึงอายุ 99 ปี
ช่วงอายุผู้ขอเอาประกัน : แรกเกิด – 70 ปี
จำนวนเงินเอาประกันขั้นต่ำ : 100,000 บาท
ตัวอย่างสิ่งที่คุณจะได้รับ : รับเงิน 100% ของจำนวนเงินเอาประกันภัยหรือเบี้ยสะสมตามความจริงในกรณีที่มีชีวิตอยู่จนครบกำหนดสัญญา
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับประกันชีวิต
❓หากบริษัทประกันล้มละลาย เรายังจะได้รับเงินคืนหรือไม่?
คำตอบ ได้รับเงินคืนค่ะ เพราะบริษัทประกันอยู่ในความคุ้มครองของสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ซึ่งมีกองทุนคุ้มครองผู้เอาประกันภัย เมื่อบริษัทถูกเพิกถอนใบอนุญาต, ล้มละลาย หรือเลิกกิจการ โดยคุ้มครองรายละไม่เกิน 1 ล้านบาท
❓มีประกันชีวิตที่คุ้มครองการเสียชีวิตทุกกรณีหรือไม่?
คำตอบ มีค่ะ แต่หากมีประวัติการรักษาโรคหรือความเสี่ยงอาจจะไม่สามารถทำประกันชีวิตคุ้มครองทุกกรณีได้ หรือหากทำได้ บริษัทประกันอาจเรียกเก็บเบี้ยประกันเพิ่มสูงกว่าปกติ
อย่างไรก็ดี บริษัทประกันจะไม่คุ้มครองกรณีดังต่อไปนี้ : ปกปิดและไม่เปิดเผยข้อมูลสาระสำคัญ หรือให้ข้อมูลเท็จ, ฆ่าตัวเองตายโดยเจตนาภายใน 1 ปี, ถูกผู้รับผลประโยชน์ฆ่าตายโดยเจตนา, ไม่ชำระเบี้ยจนสัญญาประกันขาดอายุ และเข้าใจว่าทำประกันชีวิต
❓มีประกันชีวิตสำหรับผู้สูงอายุหรือไม่?
คำตอบ มีค่ะ แต่อาจมีข้อจำกัดบางประการ เช่น การเรียกร้องให้ตรวจสุขภาพ หรือจำเป็นต้องชำระเบี้ยประกันสูงขึ้น ทั้งนี้ ส่วนมากผู้สูงอายุที่ทำได้มักจะอยู่ที่ประมาณ 70-75 ปี แล้วแต่บริษัทประกันและกรมธรรม์นั้น ๆ ค่ะ
❓มีประกันชีวิตแบบจ่ายรายเดือนหรือไม่?
คำตอบ มีค่ะ แต่การจ่ายเบี้ยประกันรายเดือนจะแพงกว่าแบบรายปี ทั้งนี้ ต้องตรวจสอบกับบริษัทประกันหรือตัวแทนจำหน่ายให้แน่ชัดก่อนค่ะ
❓ทุนประกันชีวิตต้องเสียภาษีหรือไม่?
คำตอบ ไม่ต้องค่ะ เงินทุนประกันที่ได้เมื่อครบกำหนดสัญญาตามกรมธรรม์ และเงินชดเชยตามกรมธรรม์ไม่ต้องเสียภาษี ผู้เอาประกันหรือผู้รับผลประโยชน์จะได้รับเงินแบบเต็มจำนวน
สรุปประกันชีวิตแบบไหนดี ?
ประกันชีวิตถูกใช้เป็นเครื่องมือสำหรับบริหารความเสี่ยง เพราะหากผู้เอาประกันเสียชีวิต ภาระต่าง ๆ จะไม่ไปหนักคนในครอบครัวค่ะ อย่างไรก็ดี แผนประกันจะส่งผลต่อความคุ้มครองและเงินทุนประกันด้วย ดังนั้น เราจึงควรเลือกแผนประกันชีวิตที่มีความคุ้มครองและสิทธิประโยชน์สอดคล้องกับปัจจัยต่าง ๆ ของตนเอง
เพราะฉะนั้น หากจะให้บอกว่าประกันชีวิตแบบไหนดี? ก็ต้องตอบว่า ประกันชีวิตที่เหมาะกับตัวเองค่ะ เพราะหากเลือกประกันชีวิตไม่ตรงกับไลฟ์สไตล์หรือความต้องการของตัวเอง นอกจากจะไม่ได้สิทธิประโยชน์สูงสุดแล้วก็อาจจะไม่สามารถจ่ายเบี้ยประกันได้นั่นเองค่ะ
ขอบคุณข้อมูลจาก : สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.)
บทความในเรื่องการลงทุนที่น่าสนใจ : Investing
คลังความรู้จากคุณน้า : Knowledge