หลาย ๆ คนคงเคยได้ยินชื่อ “กองทุน Hedge Fund” กันมาบ้างแล้วใช่ไหมคะ กองทุน Hedge Fund ถือเป็นหนึ่งในกองทุนที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่ากองทุนรวมอยู่มากค่ะ ดังนั้น ในบทความนี้ คุณน้าจะพาทุกคนไปรู้จักว่ากองทุน Hedge Fund คืออะไร? และกองทุน Hedge Fund มีความซับซ้อนกว่ากองทุนรวมอย่างไร? คุณน้าจะพาทุกคนไปหาคำตอบกันค่ะ!
บทความที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนในกองทุนอื่น ๆ เพิ่มเติม :
- กองทุน “ตลาดหุ้นอินเดียมาแรง”
- กองทุน Thai ESG ทางเลือกใหม่เพื่อความยั่งยืน
- มนุษย์เงินเดือนต้องรู้ ! กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ คืออะไร ?
- กองทุน RMF ผลตอบแทนดี ปี 2567
- ค่าใช้จ่ายแฝงในกองทุนรวม สิ่งที่นักลงทุนต้องรู้
กองทุน Hedge Fund คืออะไร?
กองทุน Hedge Fund หรือเฮดจ์ฟันด์ คือ กองทุนทางเลือกที่มุ่งเน้นไปยังการบริหารจัดการความเสี่ยง เพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่ดีกว่ากองทุนรวมค่ะ เพราะกองทุน Hedge Fund จะเลือกใช้กลยุทธ์ที่ค่อนข้างซับซ้อนและหลากหลายมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นการใช้กลยุทธ์ Long/Short และการใช้ Leverage เพื่อเพิ่มโอกาสในการสร้างผลกำไร เป็นต้น อีกทั้งกองทุน Hedge Fund ยังสามารถซื้อขายสินทรัพย์ได้อย่างอิสระ โดยไม่คำนึงถึงความเคลื่อนไหวของตลาดหรือดัชนีนั่นเองค่ะ
ความเป็นมาของกองทุน Hedge Fund
ที่มารูปภาพ : Institutional Investor
กองทุน Hedge Fund เกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อปี 1949 โดยนักลงทุนชาวอเมริกันที่มีชื่อว่า Alfred Winslow Jones ค่ะ โดยเขาเกิดแนวคิดขึ้นมาว่า เขาสามารถถือครองสินทรัพย์ในระยะยาวไปพร้อม ๆ กับการทำกลยุทธ์ Short Selling ได้หรือไม่? ซึ่งการคาดการณ์ของ Alfred Winslow Jones ถือว่าประสบความสำเร็จ เนื่องจากสามารถทำกำไรส่วนต่างของราคาจากการขายแพงเพื่อกลับไปซื้อถูกได้ค่ะ
นอกจากนี้ Alfred Winslow Jones ยังได้ทดลองใช้ Leverage เพื่อเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่า เมื่อเทียบกับความเสี่ยงที่ได้รับอีกด้วย ด้วยเหตุนี้เอง กองทุน Hedge Fund จึงเริ่มได้รับความสนใจจากนักลงทุนในสหรัฐฯ ตั้งแต่ปี 1980 เป็นต้นมา
สำหรับประเทศไทยนั้น กองทุน Hedge Fund ถือกำเนิดขึ้นในช่วงทศวรรษ 2000 โดยบริษัทหลักทรัพย์จัดการลงทุน (บลจ.) แต่กองทุน Hedge Fund ยังมีข้อจำกัดอยู่บ้างค่ะ โดยเน้นไปที่นักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายใหญ่เท่านั้น
กลยุทธ์ยอดนิยมของกองทุน Hedge Fund มีอะไรบ้าง?
สำหรับกลยุทธ์ยอดนิยมของกองทุน Hedge Fund สามารถแบ่งออกเป็น 5 กลยุทธ์ยอดนิยม โดยมีรายละเอียด ดังนี้
กลยุทธ์ Long/Short Equity
กลยุทธ์ Long/Short Equity คือกลยุทธ์ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในกองทุน Hedge Fund โดยเป็นกลยุทธ์ที่สามารถซื้อ (Long) หุ้นที่คาดว่าในอนาคตจะปรับตัวสูงขึ้น โดยดูจากปัจจัยพื้นฐานที่ดีของบริษัท และขาย (Short) หุ้นที่คาดว่าในอนาคตจะมีโอกาสปรับตัวลดลงเกินกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็น ทำให้พอร์ตการลงทุนของคุณสามารถสร้างผลกำไรจากการขาย (Short) เพื่อนำเงินส่วนต่างมาซื้อหุ้น (Long) ได้มากยิ่งขึ้น
ซึ่งกลยุทธ์ Long/Short Equity นี้สามารถช่วยลดความเสี่ยงของตลาดในช่วงที่ตลาดเกิดวิกฤตได้ดีกว่าตลาดหุ้น อีกทั้งยังช่วยเพิ่มโอกาสในการทำไรได้อีกด้วย หากตลาดอยู่ในช่วงขาลงและสามารถฟื้นตัวได้เป็นอย่างดี เมื่อตลาดกลับมาอยู่ในช่วงขาขึ้นนั่นเอง
เรียกได้ว่า กลยุทธ์ Long/Short Equity เป็นการทำกำไรได้ทั้งตลาดขาขึ้นและขาลง คือ
- สามารถซื้อถูกและขายแพงได้ เมื่อตลาดอยู่ในช่วงขาขึ้น
- สามารถขายแพงแล้วกลับไปซื้อถูกได้ เมื่อตลาดอยู่ในช่วงขาลง
กลยุทธ์ Market Neutral
มาต่อกันที่ กลยุทธ์ยอดนิยมที่ 2 คือ กลยุทธ์ Market Neutral เป็นกลยุทธ์ที่มีความคล้ายคลึงกับกลยุทธ์ Long/Short Equity ค่ะ แต่กลยุทธ์นี้จะรักษาสัดส่วนของการลงทุนในฝั่งซื้อและฝั่งขายให้มีความสมดุลกัน โดยไม่ได้เน้นที่ทิศทางของตลาด แต่จะเน้นที่การถือครองสัดส่วนของสินทรัพย์เป็นหลักค่ะ ซึ่งกลยุทธ์ Market Neutral จะใช้ Leverage เข้ามาช่วยในการเพิ่มโอกาสในการทำกำไรอีกด้วย
กลยุทธ์ Event Driven
สำหรับกลยุทธ์ Event Driven จะเน้นลงทุนตามสถานการณ์สำคัญในช่วงเวลานั้น ๆ เช่น การเลือกลงทุนในตราสารหนี้ เมื่อบริษัทนั้นมีการควบรวมกิจการหรือมีการเปลี่ยนแปลงภายใน ซึ่งนักลงทุนมองเห็นว่าการเปลี่ยนแปลงของบริษัทมีความน่าสนใจค่ะ
กลยุทธ์ Quantitative Investment
กลยุทธ์ Quantitative Investment คือ กลยุทธ์ที่เน้นใช้ปัญญาประดิษฐ์หรือ AI เข้ามาช่วยในการประมวลผลข้อมูลเชิงปริมาณ หรือการใช้โมเดลทางสถิติเข้ามาช่วยในการลงทุนค่ะ
กลยุทธ์ Global Macro
มาที่กลยุทธ์ยอดนิยมอันดับสุดท้ายที่คุณน้าได้หยิบยกมา นั่นก็คือกลยุทธ์ Global Macro เป็นกลยุทธ์ที่เน้นลงทุนตามเทรนด์หรือภาพรวมของเศรษฐกิจระดับมหภาค ซึ่งผู้จัดการกองทุนจะใช้กลยุทธ์นี้เน้นไปที่การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลักค่ะ
การลงทุนในกองทุน Hedge Fund มีความสำคัญต่อนักลงทุนอย่างไร?
ในแง่ของการลงทุน หลาย ๆ คนอาจจะสงสัยว่า การลงทุนในกองทุน Hedge Fund มีความสำคัญต่อนักลงทุนอย่างไร? เพราะจากที่กล่าวไปข้างต้น กลยุทธ์การลงทุนค่อนข้างที่จะซับซ้อนเลยใช่ไหมล่ะคะ ซึ่งจากการศึกษาข้อมูลมา คุณน้าขอบอกว่า กองทุน Hedge Fund สามารถกระจายความเสี่ยงโดยรวมในพอร์ตการลงทุนของคุณได้ค่ะ
ด้วยความที่ว่า ผลตอบแทนของกองทุนไม่ได้เคลื่อนไหวตามตลาดหรือดัชนี เพราะกองทุน Hedge Fund จะเน้นกลยุทธ์ที่ได้จากส่วนต่างของราคาสินทรัพย์ ทำให้ค่า Correlation (ค่าความสัมพันธ์) จะไม่สอดคล้องกับราคาสินทรัพย์โดยทั่วไปหรืออาจจะสวนทางกับราคาสินทรัพย์ในตอนนั้น ซึ่งหมายความว่า เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อตลาดกระแสหลัก ไม่ว่าตลาดหุ้น, หุ้นกู้ และตลาดตราสารหนี้ ซึ่งผลตอบแทนของ Hedge Fund จะช่วยบรรเทาความผันผวนที่เกิดกับพอร์ตของคุณได้
📢 คำแนะนำจากคุณน้า
จากที่กล่าวไปข้างต้น จะเห็นได้ว่า กองทุน Hedge Fund มีจุดเด่นด้านการลงทุนที่หลากหลายกว่ากองทุนรวม แต่ก็มาพร้อมกับวงเงินขั้นต่ำที่ค่อนข้างสูงกว่า อีกทั้งในปัจจุบันประเทศไทย ทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) อนุญาตให้มีการเสนอขาย Hedge Fund ให้แก่ผู้ลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายใหญ่เท่านั้น ซึ่งทางบ.ล.จ.จะต้องระบุข้อความว่า “กองทุนเฮดจ์ฟันด์” ไว้ในชื่อของกองทุน และต้องมีข้อความห้ามขายให้แก่นักลงทุนทั่วไปด้วย
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าทางก.ล.ต. ยังไม่อนุญาตให้ขายกองทุน Hedge Fund แก่นักลงทุนทั่วไปแต่สำหรับนักลงทุนสนใจลงทุนในกองทุน Hedge Fund สามารถเลือกลงทุนในต่างประเทศได้ค่ะ ยกตัวอย่างเช่น ประเทศสิงคโปร์หรือญี่ปุ่น เป็นต้น
กองทุน Hedge Fund เหมาะกับใคร
- เหมาะกับนักลงทุนที่ค่อนข้างมีประสบการณ์ในการลงทุนมาในระดับหนึ่ง
- เหมาะกับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง
- เหมาะกับนักลงทุนที่มีเป้าหมายในการลงทุนระยะยาว
- เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการกระจายความเสี่ยง
- เหมาะกับนักลงทุนที่มีเงินจำนวนมาก
การเสียค่าธรรมเนียมของกองทุน Hedge Fund เป็นอย่างไร?
โดยปกติแล้ว เวลาคุณลงทุนในกองทุนรวม คุณจะต้องเสียค่าธรรมเนียมการจัดการที่คิดเป็น NAV ของกองทุนรวมใช่ไหมคะ แต่สำหรับกองทุน Hedge Fund คุณจะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมที่นอกเหนือจากค่าธรรมเนียมการจัดการนั่นก็คือ การหักเปอร์เซ็นต์ของผลกำไรที่กองทุนสามารถทำได้ หรือเรียกง่าย ๆ ว่า ค่า Performance Fee นั่นเอง
ดังนั้น จะเห็นได้ว่า กองทุน Hedge Fund มีค่าธรรมเนียมในการจัดการกองทุนค่อนข้างสูงกว่ากองทุนรวมเป็นอย่างมาก
ตัวอย่างการเสียค่าธรรมเนียมของกองทุน Hedge Fund
หากคุณลงทุนในกองทุน Hedge Fund กองทุนหนึ่ง คุณอาจจะต้องเสียค่าธรรมเนียมการจัดการกองทุน โดยแบ่งออกเป็นรายละเอียด ดังนี้
- ค่าธรรมเนียมการจัดการ 2%
- ค่าธรรมเนียมในการปฏิบัติการของกองทุนที่มีการเรียกเก็บ 20% ของกำไร
- ค่าธรรมเนียมที่กองทุนเรียกเก็บเพิ่มอีก 10%
และหากคำนวณดูแล้ว นั่นก็แปลว่าคุณต้องเสียค่าธรรมเนียมทั้งหมด 32% ต่อปี ซึ่งถือว่าเป็นค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูงเลยทีเดียวค่ะ
⭐ Tip! ค่าธรรมเนียมกองทุนรวม
สำหรับค่าธรรมเนียมของกองทุนรวมส่วนใหญ่จะอยู่ที่ประมาณ 1.5% ต่อปี
สรุปกองทุน Hedge Fund แตกต่างจากกองทุนรวมอย่างไร?
โดยปกติแล้ว เราจะรู้กันดีว่า กองทุนรวมเป็นกองทุนที่ระดมทุนจากนักลงทุนรายย่อยมาเป็นเงินก้อนใหญ่จำนวนหนึ่ง เพื่อนำไปลงทุนตามนโยบายของกองทุนรวมนั้น ๆ ซึ่งกองทุนรวมจะเหมาะกับนักลงทุนมือใหม่และผู้ที่ไม่มีเวลาค่ะ โดยจะแตกต่างจากกองทุนเฮดจ์ฟันด์ ดังนี้
- กฎระเบียบ : กองทุน Hedge Fund จะอยู่ภายใต้ข้อกำหนดของหน่วยงานกำกับดูแลที่เข้มงวดน้อยกว่ากองทุนรวม
- เงินทุน : กองทุน Hedge Fund จะใช้วงเงินลงทุนสูงกว่ากองทุนรวม
- ประเภทสินทรัพย์ : กองทุน Hedge Fund สามารถเลือกลงทุนในสินทรัพย์ได้หลากหลายและมีความเสี่ยงสูงได้มากกว่ากองทุนรวม ไม่ว่าจะเป็นตราสารอนุพันธ์, อสังหาริมทรัพย์ และทรัพยากรธรรมชาติ เป็นต้น
- กลยุทธ์ : กองทุน Hedge Fund สามารถเลือกใช้กลยุทธ์ได้หลากหลาย เช่น Long/Short ในขณะที่กองทุนรวมทำได้แค่ Long เท่านั้น
- การใช้ Leverage : กองทุน Hedge Fund สามารถใช้ Leverage เพื่อเพิ่มโอกาสในการทำกำไรได้ แต่กองทุนรวมไม่สามารถทำได้นั่นเอง
กองทุน Hedge Fund ถือเป็นกองทุนที่สามารถลงทุนในสินทรัพย์ได้หลากหลายและมีกลยุทธ์การลงทุนที่ค่อนข้างซับซ้อนกว่ากองทุนรวมเป็นอย่างมากค่ะ
ข้อดี-ข้อเสียของกองทุน Hedge Fund
ข้อดี
- สามารถเลือกลงทุนในสินทรัพย์ได้อย่างไม่มีข้อจำกัด
- สามารถกระจายความเสี่ยงได้อัตโนมัติ
- มีผู้เชี่ยวชาญในการคัดเลือกสินทรัพย์ที่มีประสิทธิภาพ
- มีโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่ากองทุนรวม
- สามารถป้องกันความเสี่ยงได้เมื่อเข้าสู่สภาวะตลาดหมี
ข้อเสีย
- มีค่าธรรมเนียมในการจัดการกองทุนค่อนข้างสูง
- วงเงินลงทุนขั้นต่ำค่อนข้างสูง
- สภาพคล่องต่ำกว่ากองทุนรวม
เปิด 9 หุ้นและ ETF ของ Bridgewater : Hedge Fund ระดับโลก
ถึงแม้ว่าประเทศไทยยังไม่สามารถขายกองทุน Hedge Fund ให้แก่นักลงทุนทั่วไปได้ แต่ในบทความนี้ คุณน้าจะพาทุกคนมาเปิด 9 หุ้นของ Bridgewater: กองทุน Hedge Fund ระดับโลกให้ความไว้วางใจ เพื่อเป็นทางเลือกให้กับพอร์ตของคุณ โดย 9 หุ้น จะมีตัวไหนบ้างที่น่าสนใจ ไปหาคำตอบกันค่ะ!
หุ้นและ ETF | เปอร์เซ็นต์การถือครองในพอร์ตโฟลิโอ |
iShares Core S&P 500 ETF (IVV) | 5.67% |
iShares Core MSCI Emerging Markets ETF (IEMG) | 5.29% |
Procter & Gamble Co. (PG) | 3.81% |
Coca-Cola Co. (KO) | 2.64% |
Costco Wholesale Corp. (COST) | 2.54% |
Johnson & Johnson (JNJ) | 2.43% |
PepsiCo Inc. (PEP) | 2.32% |
McDonald’s Corp. (MCD) | 2.25% |
Walmart Inc. (WMT) | 2.24% |
สำหรับใครที่ต้องการอ่านบทความเกี่ยวกับการลงทุนแบบ Ray Dalio อดีตผู้จัดการมือทองของ Bridgewater ที่ตอนนี้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาของ Bridgewater โดยคุณสามารถอ่านได้ที่ลิงก์ด้านล่างนี้ได้เลยค่ะ
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับกองทุน Hedge Fund
กองทุน Hedge Fund คืออะไร?
กองทุน Hedge Fund คือ กองทุนทางเลือกที่มุ่งเน้นไปยังการบริหารจัดการความเสี่ยง เพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่ดีกว่ากองทุนรวม
กองทุน Hedge Fund ในไทยมีไหม?
มีค่ะ สำหรับประเทศไทย ทางกลต. อนุญาตให้ขายกองทุน Hedge Fund ให้แก่ผู้ลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายใหญ่เท่านั้น
หุ้นและ ETF ที่ Bridgewater Hedge Fund ระดับโลกเลือก มีอะไรบ้าง?
- iShares Core S&P 500 ETF (IVV)
- iShares Core MSCI Emerging Markets ETF (IEMG)
- Procter & Gamble Co. (PG)
- Coca-Cola Co. (KO)
- Costco Wholesale Corp. (COST)
- Johnson & Johnson (JNJ)
- PepsiCo Inc. (PEP)
- McDonald’s Corp. (MCD)
- Walmart Inc. (WMT)
สรุปกองทุน Hedge Fund คืออะไร?
ทั้งหมดนี้ก็คือ กองทุน Hedge Fund กองทุนทางเลือกที่สามารถป้องกันความเสี่ยงได้ดีเมื่อตลาดกำลังเข้าสู่ช่วงผันผวน แต่กองทุนประเภทนี้ก็มีความซับซ้อนและค่าใช้จ่ายที่มากกว่ากองทุนรวม ดังนั้น นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลของแต่ละกองทุนให้ดี ก่อนตัดสินใจเลือกลงทุน อีกทั้งควรเลือกกองทุนที่เหมาะสมกับความต้องการของตนเอง เพื่อเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดีในอนาคต ด้วยความปรารถนาดีจากคุณน้าพาเทรดค่ะ
ขอบคุณข้อมูลจาก : Investopedia, U.S. News, Finnomena และ KKP
สำหรับใครที่สนใจอ่านรีวิวโบรกเกอร์ : Review Brokers
บทความในเรื่องการลงทุนที่น่าสนใจ : Investing
คลังความรู้จากคุณน้า : Knowledge