คำศัพท์หุ้นที่คุณน้าจะพาทุกคนมารู้จักในวันนี้ก็คือ Buy On Dip นั่นเองค่ะ Buy On Dip คือ เทคนิคที่จะช่วยให้นักลงทุนสามารถเข้าซื้อหุ้นในราคาที่ต่ำลง และสามารถขายในราคาที่สูงขึ้นได้ ดังนั้น คุณน้าจะพาทุกคนมาหาคำตอบเกี่ยวกับเทคนิค Buy On Dip คืออะไร? ให้ละเอียดยิ่งขึ้นกันค่ะ
*หมายเหตุ : การลงทุนมีความเสี่ยง นักลงทุนควรศึกษาปัจจัยพื้นฐานของหุ้นแต่ละตัว ก่อนตัดสินใจลงทุน อีกทั้งบทความนี้ไม่ได้ชักชวนการลงทุนแต่อย่างใด เป็นเพียงบทความให้ความรู้เท่านั้น โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
Buy On Dip คืออะไร?

Buy On Dip หรือ Buy The dip คือ เทคนิคการเข้าซื้อหุ้นเมื่อราคาหุ้นปรับตัวลดลงในระยะสั้น ซึ่งนักลงทุนจะนิยมใช้เทคนิคนี้ ในช่วงตลาดขาลง เพื่อหวังว่าราคาหุ้นจะปรับตัวสูงขึ้นในอนาคต
สำหรับหลักการสำคัญของเทคนิค Buy On Dip คือ การซื้อถูก เพื่อกลับไปขายแพง เพราะนักลงทุนมองว่า ราคาหุ้นจะมีการปรับตัวลงเล็กน้อย ก่อนจะมีการปรับตัวและสร้างมูลค่าทางตลาดที่เพิ่มมากในอนาคต ด้วยเหตุนี้เอง นักลงทุนจึงคาดการณ์ไว้ว่า ตลาดจะมีการปรับตัวกลายเป็นแนวโน้มขาขึ้นในที่สุดค่ะ
📢 เกร็ดความรู้! การ Dip คืออะไร?
Dip คือ การกำหนดจุดซื้อ ซึ่งจะนิยมใช้ในตลาดหุ้น เมื่อราคาปรับตัวลงในระยะสั้น ก่อนจะมีแนวโน้มปรับตัวขึ้น
นอกจากนี้ ยังมีการใช้คำศัพท์ว่า Dip อยู่หนึ่งคำ นั่นก็คือ Dip On Uptrend ค่ะ ซึ่ง Dip On Uptrend คือ การกำหนดจุดเข้าซื้อ เมื่อราคามีการปรับย่อตัวลงในแนวโน้มขาขึ้น ซึ่งถือเป็นกลยุทธ์ที่จะช่วยให้นักลงทุนสามารถเข้าซื้อในราคาที่เหมาะสมและเป็นหุ้นที่สร้างมูลค่าเพิ่มได้นั่นเอง
ทำไมเทคนิค Buy On Dip ถึงได้รับความนิยม?
จากที่กล่าวไปข้างต้น จะเห็นได้ว่า เทคนิค Buy On Dip มีหลักการซื้อถูก เพื่อกลับไปขายแพง แล้วทำไมเทคนิคลักษณะนี้ถึงได้รับความนิยม? จากการศึกษาข้อมูล คุณน้ามองว่า เพราะในหลาย ๆ ครั้ง ราคาหุ้นจะมีการปรับตัวพุ่งสูงขึ้นในช่วงที่ตลาดอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น ทำให้บ่อยครั้งที่เรามักจะได้ราคาหุ้นที่แพงมาก ซึ่งหุ้นที่มีราคาแพงมากในตอนนั้น อาจจะเป็นราคาที่แพงกว่าความเป็นจริง อีกทั้งในอนาคตผลประกอบการของหุ้นตัวนั้น อาจไม่ดีและมีการปรับตัวลงเรื่อย ๆ จนทำให้นักลงทุนรู้สึกว่า หุ้นมีราคาแพงเกินไป ซึ่งไม่คุ้มค่ากับเงินทุนนั่นเองค่ะ
ดังนั้น เทคนิค Buy On Dip จึงเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่จะช่วยเพิ่มโอกาสให้นักลงทุนสามารถซื้อหุ้นในราคาที่ต่ำลงได้ อีกทั้งยังเป็นการกระจายความเสี่ยงในช่วงที่ตลาดเกิดความผันผวนและลดโอกาสการติดดอยให้กับนักลงทุนอีกด้วยค่ะ

🔍 Buy On Dip เหมาะกับใคร?
- นักลงทุนที่มีความรู้และประสบการณ์ในการวิเคราะห์กราฟทางเทคนิค
- นักลงทุนที่ยอมรับความเสี่ยงได้สูง
- นักลงทุนที่ชื่นชอบการเก็งกำไรระยะสั้น
Buy On Dip หุ้นมีอิทธิพลต่อตลาดอย่างไร?
จากที่กล่าวไปข้างต้น จะเห็นได้ว่า เทคนิค Buy On Dip ช่วยเพิ่มโอกาสให้นักลงทุนสามารถซื้อขายหุ้นในราคาที่ต่ำลงได้ ซึ่งการที่นักลงทุนเข้าซื้อหุ้นที่ต่ำลงจะส่งผลให้ตลาดได้รับอิทธิพลไปด้วยเช่นกันค่ะ ดังนั้น คุณน้าขอยกตัวอย่าง 3 เหตุผลที่ทำให้เทคนิค Buy On Dip มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้น โดยมีรายละเอียด ดังนี้
3 เหตุผลที่ Buy On Dip มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้น
ตลาดมีความผันผวนลดลง : เพราะการเข้าซื้อหุ้นในช่วงที่ราคาต่ำลงจะเป็นการพยุงให้แรงเทขายลดลงและส่งผลให้ตลาดหุ้นมีความผันผวนลดลงนั่นเอง |
Sentiment ของนักลงทุนเพิ่มมากขึ้น : การที่นักลงทุนเข้ามาซื้อหุ้นในช่วงที่ราคาต่ำลง นั่นจะแสดงให้เห็นว่า นักลงทุนยังมีความเชื่อมั่นต่อหุ้นตัวนั้น ซึ่งในอนาคตอาจจะเป็นหุ้นที่มีพื้นฐานที่ดี ส่งผลให้ตลาดมีแนวโน้มฟื้นตัวได้ดียิ่งขึ้น |
ตลาดมีแนวโน้มเป็นขาขึ้น : การเข้าซื้อหุ้นในช่วงตลาดขาลง จะทำให้ตลาดหุ้นมีแรงหนุนของแรงซื้อเข้ามามากขึ้น ซึ่งจะช่วยให้ตลาดหุ้นสามารถรีบาวด์จนกลับตัวกลายเป็นแนวโน้มขาขึ้นได้ |
ข้อดี-ข้อเสียของ Buy On Dip
ข้อดี
- ลดความเสี่ยงจากการติดดอย
- เพิ่มโอกาสในการทำกำไร เมื่อราคาหุ้นมีการฟื้นตัว
- กระจายความเสี่ยงและช่วยปรับพอร์ตลงทุนให้มีความสมดุลมากขึ้น
ข้อเสีย
- ราคาหุ้นมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
- ความเสี่ยงสูง
- เป็นเทคนิคที่ต้องอาศัยประสบการณ์ค่อนข้างสูง
ถอดรหัสลับ! เทคนิค Buy On Dip ทำได้อย่างไร?
จากที่กล่าวไปข้างต้น จะเห็นได้ว่า เทคนิค Buy On Dip เป็นเทคนิคที่ศึกษา “ราคาหุ้น” เป็นหลักค่ะ ทำให้หลาย ๆ ครั้ง มีความเสี่ยงด้านการเปลี่ยนแปลงของราคาอยู่ตลอดเวลา หากราคาหุ้นต่ำลง นักลงทุนจะมองว่าราคาหุ้นจะปรับตัวพุ่งขึ้นในอนาคต แต่ในความเป็นจริงแล้ว ราคาหุ้นอาจจะกลับตัวเล็กน้อย ซึ่งไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ เป็นเหตุให้นักลงทุนอาจเกิดการขาดทุนได้
นอกจากนี้ หากนักลงทุนเข้าซื้อขายหุ้นในตลาด Sideway ก็อาจทำให้คุณมีโอกาสขาดทุนได้เช่นกันค่ะ เพราะราคาหุ้นยังไม่ได้รับการยืนยันว่า จะสามารถปรับตัวขึ้นไปต่อได้ ดังนั้น คุณน้าจะพาทุกคนมาถอดรหัสลับกับเทคนิค Buy On Dip ว่ามีเทคนิคอะไรบ้าง เพื่อป้องกันการขาดทุนที่จะเกิดขึ้น โดยมีรายละเอียด ดังนี้
1. การตั้งจุดตัดขาดทุน (Stop Loss)

เทคนิคสำคัญของ Buy On Dip อันดับแรก นั่นก็คือ การตั้งจุดตัดขาดทุน (Stop Loss) เพื่อป้องกันการขาดทุนนั่นเองค่ะ เพราะเทคนิคนี้ไม่ได้การันตีว่า คุณจะได้กำไร 100% เนื่องจากตลาดหุ้นมีความผันผวนค่อนข้างมาก อีกทั้งยังมีอีกหลายปัจจัยที่ส่งผลต่อตลาดหุ้น ทำให้การตั้งจุดตัดขาดทุน (Stop Loss) ถือเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญอันดับต้น ๆ ที่นักลงทุนไม่ควรมองข้าม แม้ว่าราคาจะมีการเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดิมอย่างต่อเนื่อง แต่การตั้งจุดตัดขาดทุน (Stop Loss) ก็จะช่วยให้คุณปลอดภัย เพราะเราไม่รู้เลยว่า ตลาดหุ้นจะมีการเปลี่ยนแปลงอีกตอนไหน
2. การใช้แนวรับ
การใช้แนวรับจะช่วยให้นักลงทุนสามารถประเมินราคาของหุ้น ก่อนทำการเข้าซื้อได้ค่ะ เพราะการที่หุ้นมีแรงซื้อเป็นจำนวนมากจะช่วยให้ราคาหุ้นรีบาวด์เป็นตลาดขาขึ้นได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งการใช้แนวรับในการศึกษาจังหวะการเข้าซื้อนั้น จะมีจุดสังเกต คือ ปริมาณการซื้อจะต้องมากกว่าปริมาณขาย จนทำให้นักลงทุนมั่นใจว่า ราคาหุ้นจะไปต่อในอนาคต
3. การศึกษาปัจจัยพื้นฐานของหุ้นตัวนั้น

รูปภาพข้างบน คือ งบการเงินของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT ประจำปี 2567
การศึกษาปัจจัยพื้นฐานของหุ้นก็ถือว่ามีความสำคัญไม่แพ้กันค่ะ หากนักลงทุนซื้อหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี ก็จะส่งผลให้หุ้นตัวนั้นมีการฟื้นตัว จนสามารถกลับมารีบาวด์ได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ นักลงทุนควรศึกษางบการเงินย้อนหลังของบริษัทย้อนหลัง 5-10 ปี เพื่อดูว่าบริษัทนั้นมีแนวโน้มเติบโตในอนาคตได้หรือไม่
4. การแบ่งรับหลายไม้
เทคนิคต่อมา คือ การแบ่งรับหลายไม้ เมื่อราคาหุ้นมีการย่อตัวลง นักลงทุนควรทยอยเข้าซื้อหุ้น เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงจากการติดดอย อีกทั้งยังช่วยให้นักลงทุนสามารถเข้าซื้อหุ้นในราคาที่ต่ำลง เมื่อราคาหุ้นมีแนวโน้มในการปรับตัวลงอีกรอบในอนาคตได้ค่ะ
5. การใช้ Indicator เข้ามาช่วยในการวิเคราะห์ติดตามราคาหุ้น

และเทคนิคสุดท้ายที่คุณน้าจะแนะนำ นั่นก็คือ Buy On Dip สามารถใช้ควบคู่ไปกับ Indicator ประเภท Momentum Oscillator ในการวิเคราะห์ติดตามราคาหุ้นได้นะคะ เพื่อช่วยให้นักลงทุนสามารถจับจังหวะการซื้อขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยคุณน้าขอยกตัวอย่าง Indicator ประเภท Momentum Oscillator อย่าง RSI เพื่อวัดการแกว่งตัวของราคาว่า ปริมาณการซื้อขายมากเกินไปหรือไม่? ซึ่ง RSI จะอ่านค่ากราฟตั้งแต่ 0-100 หากเส้น RSI ต่ำกว่า 30 เท่ากับว่า ตลาดอยู่ในสภาวะขายมากเกินไป แต่หากเส้น RSI มากกว่า 70 จะเท่ากับว่า ตลาดอยู่ในสภาวะซื้อมากเกินไป
จุดสังเกตของ RSI มีรายละเอียด ดังต่อไปนี้
- Bullish Convergence RSI : กราฟราคาในปัจจุบันและกราฟราคาของเส้น RSI เคลื่อนไหวขึ้นไปทำ Higher High เหมือนกัน นั่นแสดงให้เห็นว่า ตลาดอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น
- Bearish Convergence RSI : กราฟราคาในปัจจุบันและกราฟราคาของเส้น RSI เคลื่อนไหวลงไปทำ Lower Low เหมือนกัน นั่นแสดงให้เห็นว่า ตลาดอยู่ในแนวโน้มขาลง
- Bullish Divergence RSI : กราฟราคาในปัจจุบันจะทำ Lower Low ขณะที่กราฟราคาของเส้น RSI จะทำ Higher High นั่นแสดงให้เห็นว่า ตลาดอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น
- Bearish Divergence RSI : กราฟราคาในปัจจุบันจะทำ Higher High ขณะที่กราฟราคาของเส้น RSI จะทำ Lower Low นั่นแสดงให้เห็นว่า ตลาดอยู่ในแนวโน้มขาลง
สำหรับใครที่ต้องการอ่านอินดิเคเตอร์ RSI เพิ่มเติม คุณน้าก็เคยเขียนบทความนี้ไว้แล้ว สามารถอ่านได้ที่ลิงก์ด้านล่างนี้ได้เลย
🔍 นอกจาก RSI แล้ว ยังมีอินดิเคเตอร์อีกหลายตัวที่สามารถใช้เทคนิค Buy On Dip ได้ ไม่ว่าจะเป็น Bollinger Bands, Moving Average หรือ EMA เป็นต้น คุณน้าได้รวบรวมอินดิเคเตอร์ยอดนิยมไว้ในบทความที่เกี่ยวข้องด้านล่างไว้แล้ว สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้เลยค่ะ
บทความที่เกี่ยวข้องกับอินดิเคเตอร์เพิ่มเติม :
- 6 ประเภทของ Indicator สุดฮิตที่เทรดเดอร์นิยมใช้
- Forex 101 : Indicator คืออะไร ?
- Moving Average คืออะไร?
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับเทคนิค Buy On Dip
Buy The dip คืออะไร?
Buy The dip คือ เทคนิคการเข้าซื้อหุ้นเมื่อราคาหุ้นปรับตัวลดลงในระยะสั้น ซึ่งจะนิยมใช้เทคนิคนี้ในช่วงตลาดขาลง โดยหวังว่าราคาหุ้นจะมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นในอนาคต
Buy On Dip หุ้น มีข้อดีอะไรบ้าง?
- ลดความเสี่ยงจากการติดดอย
- เพิ่มโอกาสในการทำกำไร เมื่อราคาหุ้นมีการฟื้นตัว
- กระจายความเสี่ยงและปรับพอร์ตการลงทุนให้มีความสมดุล
Dip คืออะไร?
Dip คือ การกำหนดจุดซื้อ ซึ่งจะนิยมใช้ในตลาดหุ้น เมื่อราคาปรับตัวลงในระยะสั้น ก่อนจะมีแนวโน้มปรับตัวขึ้น
สรุป Buy On Dip คืออะไร?
ทั้งหมดนี้คือ เทคนิค Buy On Dip นั่นเองค่ะ ซึ่งเป็นเทคนิคที่นักลงทุนนิยมใช้ เมื่อราคาหุ้นอยู่ในตลาดขาลง โดยนักลงทุนมองว่าราคาหุ้นจะมีโอกาสรีบาวด์ขึ้นมากลายเป็นตลาดขาขึ้นได้สำเร็จ เหมือนกับนิยามคำว่า ซื้อถูก เพื่อกลับไปขายแพง อย่างไรก็ดี เทคนิค Buy On Dip ไม่ได้การันตีว่า นักลงทุนจะมีโอกาสทำกำไรได้ 100% นะคะ เพราะเทคนิคนี้ ให้ความสนใจกับราคาหุ้นเป็นหลัก ทำให้มีความเสี่ยงด้านราคาค่อนข้างสูง อีกทั้งตลาดหุ้นยังมีความผันผวนเป็นอย่างมาก
ดังนั้น นักลงทุนควรใช้เทคนิคจุดตัดขาดทุน (Stop Loss), การใช้อินดิเคเตอร์ เช่น RSI หรือการแบ่งรับหลายไม้ เพื่อเข้ามาช่วยกระจายความเสี่ยงและป้องกันการขาดทุนที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต ด้วยความปรารถนาดีจากทีมงานคุณน้าพาเทรดค่ะ และในบทความหน้า คุณน้าจะพาทุกคนไปรู้จักกับคำศัพท์หุ้นคำไหนอีก โปรดติดตามกันให้ดี
ขอบคุณข้อมูลจาก : Thunhoon, Set investnow และ Wealth Connex
สำหรับใครที่สนใจอ่านรีวิวโบรกเกอร์ : Review Brokers
บทความในเรื่องการลงทุนที่น่าสนใจ : Investing
คลังความรู้จากคุณน้า : Knowledge