มือใหม่เริ่มต้นลงทุนคงเกิดคำถามว่า หุ้นปันผล VS หุ้นไม่ปันผล แบบไหนดีกว่ากัน? ในบทความนี้ คุณน้าจะพาทุกคนมาไขข้อสงสัยด้วยการคัดเลือก 10 คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับหุ้นปันผล VS หุ้นไม่ปันผล ลงทุนแบบไหนใช่สำหรับคุณ? ถ้าพร้อมแล้วไปหาคำตอบกันเลย!
*หมายเหตุ : บทความนี้เป็นเพียงบทความให้ความรู้เท่านั้น ไม่ได้ชักชวนเพื่อการลงทุนแต่อย่างใด โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
1. หุ้นปันผล คืออะไร?
หุ้นปันผล คือ หุ้นที่บริษัทมีการเสนอขายในตลาดหลักทรัพย์ โดยมีนโยบายจ่ายเงินปันผล (Dividend Yield) ให้กับผู้ถือหุ้นตามสัดส่วนการถือหุ้นอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งบางบริษัทอาจจ่ายเงินปันผลทุก ๆ 6 เดือน หรือทุกไตรมาส เป็นต้น โดยหุ้นที่จ่ายปันผลจะต้องเสียภาษีต้องหัก ณ ที่จ่าย 10 % ของมูลค่าเงินปันผลที่ได้รับค่ะ
นอกจากนี้ หุ้นปันผลสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท ได้แก่ 1. การจ่ายปันผลด้วยเงินสด และ 2. การจ่ายเงินปันผลด้วยหุ้น
2. หุ้นไม่ปันผล คืออะไร?
หุ้นไม่ปันผล คือ หุ้นที่บริษัทมีการเสนอขายในตลาดหลักทรัพย์ แต่ไม่มีนโยบายจ่ายเงินปันผลค่ะ เพราะบริษัทจะนำกำไรที่ได้ไป Re Invest หรือทำการลงทุนต่อในผลิตภัณฑ์อื่น ๆ เพื่อเพิ่มโอกาสในการขยายกิจการต่อไปในอนาคตนั่นเอง
3. หุ้นปันผล VS หุ้นไม่ปันผล เสียภาษีไหม
หุ้นปันผล | หุ้นไม่ปันผล |
1. ต้องเสียภาษีหัก ณ ที่จ่าย 10 % ของมูลค่าเงินปันผลที่ได้รับ ซึ่งนักลงทุนสามารถเลือกนำเงินปันผลไปรวมกับรายได้ เพื่อนำไปคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปีหรือไม่ก็ได้ | ไม่เสียภาษีหัก ณ ที่จ่าย 10 % |
2. หากนำไปรวมกับการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา นักลงทุนอาจขอเครดิตภาษีคืนได้ หากฐานภาษีต่ำกว่า 10% ของเงินได้ | |
3. ได้รับการยกเว้นเสียภาษีเฉพาะ ในกรณีนักลงทุนได้รับเงินปันผลจากบริษัทที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI |
📢 ข้อสังเกตเกี่ยวกับกำไรส่วนต่างของราคา (Capital Gain) :
สำหรับกำไรส่วนต่างของราคา (Capital Gain) เมื่อมีการขายหุ้น แล้วได้ราคาที่สูงกว่าราคาตอนซื้อมา นักลงทุนจะได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
4. หุ้นปันผล VS หุ้นไม่ปันผล เหมาะกับใคร?
หุ้นปันผล | หุ้นไม่ปันผล |
1. นักลงทุนที่ต้องการกระจายความเสี่ยงในพอร์ตการลงทุน | 1. นักลงทุนที่มีต้นทุนจำกัดหรือนักลงทุนมือใหม่ |
2. นักลงทุนระยะยาวหรือนักลงทุนที่ต้องการ Passive Income | 2. นักลงทุนที่ไม่ต้องการเสียภาษี |
3. นักลงทุนที่ต้องการสร้างกระแสเงินสดในการใช้จ่ายเป็นประจำ | 3. นักลงทุนที่ต้องการเพิ่มพูนเงินลงทุนในระยะยาว |
4. นักลงทุนที่มีประสบการณ์การลงทุน |
5. ข้อดีของหุ้นปันผล VS หุ้นไม่ปันผล มีอะไรบ้าง?
หุ้นปันผล | หุ้นไม่ปันผล |
1. นักลงทุนไม่ต้องรอจับจังหวะการลงทุน | 1. สามารถสร้างผลตอบแทนในระยะยาว เนื่องจากบริษัทจะนำกำไรไปลงทุนต่อ (Re Invest) ทำให้เกิดผลตอบแทนแบบทบต้น* |
2. สามารถสร้างผลตอบแทน โดยไม่จำเป็นต้องขายสินทรัพย์ เพราะหุ้นปันผลสามารถให้ Profit กับนักลงทุนอัตโนมัติ | 2. เมื่อขายหุ้นไม่ปันผล แล้วได้กำไรส่วนต่าง (Capital Gain) โดยไม่ต้องนำไปเสียภาษี |
3. ช่วยให้มีกระแสเงินสดในการใช้จ่ายเป็นประจำ |
🔍 เกร็ดความรู้เพิ่มเติมจากคุณน้า :
ผลตอบแทนแบบทบต้น* เป็นผลตอบแทนที่ได้มาจากเงินต้นรวมกับดอกเบี้ยในงวดก่อนหน้า ซึ่งอัตราผลตอบแทนจะถูกสมทบเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แม้ว่าคุณจะลงทุนเท่าเดิมทุกปี ถือเป็นการเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนในระยะยาว |
6. ข้อควรระวังของหุ้นปันผล VS หุ้นไม่ปันผล
หุ้นปันผล | หุ้นไม่ปันผล |
1. บริษัทที่มีการจ่ายเงินปันผลอาจจะเกิดการอิ่มตัว ทำให้บริษัทไม่สามารถเติบโตต่อไปได้ | 1. มีความเสี่ยงในการบริหารจัดการบริษัท |
2. มีความเสี่ยงเรื่องการถือครองหุ้นสภาพคล่องต่ำ | 2. มีความเสี่ยงเรื่องผลตอบแทนที่จะได้รับในระยะยาว |
3. มีความเสี่ยงในการไม่ได้รับกระแสเงินสด ซึ่งบางบริษัทอาจจ่ายปันผลเป็นหุ้นแทน | 3. ไม่มีกระแสเงินสดระหว่างทาง ทำให้นักลงทุนต้องสำรองเงินเย็นในการใช้จ่าย |
4. บริษัทที่กำลังสร้างตัวจะจ่ายเงินปันผลน้อย ทำให้ผลตอบแทนไม่คุ้มค่าเท่าที่ควร | 4. ความเสี่ยงที่บริษัทอาจจะขาดทุนสะสม จนไม่สามารถจ่ายเงินปันผลได้ |
7. หุ้นปันผล VS หุ้นไม่ปันผล ดูยังไง?
หุ้นปันผล | หุ้นไม่ปันผล |
1. นักลงทุนควรซื้อหุ้นปันผล ก่อนวันขึ้นเครื่องหมาย XD และควรถือให้ครบกำหนดตามที่บริษัทตั้งเงื่อนไขไว้ จึงจะได้รับเงินปันผลในรอบนั้น ๆ | 1. นักลงทุนสามารถตรวจสอบได้จากนโยบายการจ่ายเงินปันผล หากขึ้นว่า รายการสิทธิประโยชน์ไม่มีการจ่ายเงินปันผล เท่ากับว่า หุ้นตัวนั้นไม่จ่ายปันผลค่ะ |
2. นักลงทุนสามารถดูหุ้นปันผลได้จากดัชนี SETHD (Set High Dividend) ซึ่งเป็นดัชนีที่สะท้อนราคาหุ้นปันผลสูง 30 ตัวบนตลาดหลักทรัพย์ไทย โดยค้นหาผ่าน Streaming App หรือบนหน้าเว็บไซต์ SET ก็ได้เช่นกันค่ะ | 2. นักลงทุนสามารถตรวจสอบงบการเงินของบริษัทได้ หากบริษัทมีการนำกำไรไปลงทุนต่อ (Re Invest) นั่นเท่ากับว่า หุ้นไม่จ่ายปันผล |
3. นักลงทุนสามารถดูนโยบายจ่ายเงินปันผลของหุ้นแต่ละตัวได้ผ่านรายการสิทธิประโยชน์ ซึ่งผลตอบแทนจะยังไม่ได้หักภาษีหัก ณ ที่จ่าย 10% | 3. นักลงทุนสามารถตรวจสอบหุ้นไม่ปันผลได้ที่แอปพลิเคชันทางการเงินต่าง ๆ ยกตัวอย่างเช่น Dime App เป็นต้น |
คุณน้าแนะนำการซื้อหุ้นปันผล :
เป็นที่ทราบกันดีว่า นักลงทุนควรซื้อหุ้นปันผลก่อนวันขึ้นเครื่องหมาย XD ซึ่งคุณน้าขอแนะนำว่า ควรซื้อก่อน 1 เดือนที่จะขึ้น XD ค่ะ เพราะหากคุณซื้อก่อนขึ้น XD 1-2 วัน ราคาหุ้นจะถูกลงมาก ประกอบกับนักลงทุนที่ทยอยซื้อหุ้นตั้งแต่ 1 เดือนแรกนั้น จะทยอยขายหุ้นก่อนขึ้น XD 1-2 วันเช่นกัน ส่งผลกระทบให้หุ้นตัวนั้น มีสภาพคล่องต่ำค่ะ การจ่ายเงินปันผลก็จะลดลงตามไปด้วย
นอกจากนี้ ราคาหุ้นจะกลับมาฟื้นตัวได้อีกครั้งนั้น ต้องใช้ระยะเวลาค่อนข้างนาน ทำให้การซื้อหุ้นก่อนขึ้น XD 1-2 วัน มีความเสี่ยงเป็นอย่างมากค่ะ
คุณน้าแนะนำการซื้อหุ้นไม่ปันผล :
โดยปกติแล้ว หุ้นไม่ปันผลมีหลายตัวเป็นอย่างมากค่ะ ซึ่งนักลงทุนควรดูงบการเงินของบริษัทให้ดี เพราะบางบริษัทอาจจะไม่จ่ายเงินปันผล เนื่องจากบริษัทขาดทุนอย่างต่อเนื่อง ทำให้ไม่สามารถบริหารได้อีกต่อไป
ซึ่งปัจจัยนี้ ถือเป็นข้อควรระวังที่นักลงทุนต้องพิจารณาเป็นพิเศษ โดยคุณน้าขอแนะนำว่า ควรเลือกบริษัทที่มีราคาหุ้นไม่แพงจนเกินไป และสามารถดำเนินกิจการได้อย่างต่อเนื่อง
8. เลือกหุ้นปันผล VS หุ้นไม่ปันผล อย่างไรให้เหมือนมืออาชีพ?
หุ้นปันผล | หุ้นไม่ปันผล |
1. เลือกบริษัทพื้นฐานดี สภาพคล่องสูง ซึ่งรวมถึงความได้เปรียบทางธุรกิจและโอกาสการเติบโตในอนาคต | 1. เลือกบริษัทพื้นฐานดี สภาพคล่องสูง ซึ่งรวมถึงความได้เปรียบทางธุรกิจและโอกาสในการเติบโตในอนาคต |
2. งบการเงินดี, มีโครงสร้างหนี้เหมาะสม, ผลกำไรเป็นบวก และมีกระแสเงินสดเป็นบวก | 2. งบการเงินดี, มีโครงสร้างหนี้เหมาะสม และผลกำไรเป็นบวก |
3. มีการจ่ายเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอ และการจ่ายเงินปันผลควรมากกว่า 80% ของเงินทุน | 3. ศึกษาแผนการดำเนินงานของบริษัทว่า ในอนาคตบริษัทมีแผนในการขยายกิจการอย่างไร หรือมีการออกผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ที่น่าสนใจหรือไม่ |
4. มีสภาพคล่องในการซื้อขาย | |
5. หุ้นปันผลมีแนวโน้มดีในระยะยาว |
9. หุ้นปันผล VS หุ้นไม่ปันผล สภาพคล่องดี ปี 2024
คุณน้าขอแนะนำ 5 ตัวอย่างหุ้นปันผลและหุ้นไม่ปันผล สภาพคล่องดี ปี 2024 เพื่อให้ทุกคนสามารถเห็นภาพได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น โดยมีรายละเอียด ดังนี้
หุ้นปันผล | หุ้นไม่ปันผล |
1. PTT : บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) | 1. TSLA80X : Depositary Receipt on TSLA Issued by KTB |
2. BDMS : บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) | 2. BRKB80X : Depositary Receipt on BRKB Issued by KTB |
3. CPALL : บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) | 3. NFLX80X : Depositary Receipt on NFLX Issued by KTB |
4. AOT : บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) | 4. AMZN80X : Depositary Receipt on AMZN Issued by KTB |
5. TISCO : บริษัท ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) | 5. CRWD : CrowdStrike Holdings, Inc. |
นอกจากหุ้นปันผลที่กล่าวมาข้างต้น ยังมีหุ้นอีกหลายตัวที่มีสภาพคล่องดีและให้เงินปันผลอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นธนาคาร, พลังงาน และอุตสาหกรรมค้าปลีกค่ะ ส่วนหุ้นไม่ปันผล ส่วนใหญ่แล้ว จะเป็นหุ้น Technology หรือไม่ก็หุ้นยาค่ะ เนื่องจากเป็นธุรกิจที่ต้องมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์และการคิดค้นนวัตกรรมตลอดเวลา ทำให้ทางบริษัทมีการ Re Invest อย่างต่อเนื่อง และสำหรับใครที่สนใจหุ้นธนาคาร คุณน้าก็เคยเขียนแนะนำหุ้นธนาคารไว้ในบทความก่อนหน้านี้นะคะ สามารถอ่านได้ที่ลิงก์ด้านล่างได้เลยนี้เลยค่ะ
📢 คุณน้าแนะนำโบรกเกอร์หุ้นค่าธรรมเนียมถูก :
📢 คุณน้าแนะนำโบรกเกอร์หุ้น CFDs :
ประเภทบัญชี : Standard, Standard+, Raw และ Pro
ฝากขั้นต่ำ : $10
Free Swap : ใช่
10. หุ้นปันผล VS หุ้นไม่ปันผล ผลตอบแทนเป็นอย่างไร?
หุ้นปันผล | หุ้นไม่ปันผล |
1. มีการจ่ายเงินปันผลระหว่างการลงทุน | 1. ได้ผลตอบแทนทบต้นในระยะยาว |
2. ได้รับผลตอบแทนในรูปแบบกำไรส่วนต่างราคา (Capital Gain) จากการขายหุ้นในราคาที่สูงกว่าราคาที่ซื้อมา | 2. ได้รับผลตอบแทนในรูปแบบกำไรส่วนต่างราคา (Capital Gain) จากการขายหุ้นในราคาที่สูงกว่าราคาที่ซื้อมา |
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับหุ้นปันผลและหุ้นไม่ปันผล
หุ้นปันผล ซื้อยังไง?
นักลงทุนสามารถตรวจสอบและซื้อหุ้นปันผลได้จากดัชนี SETHD (Set High Dividend) ซึ่งเป็นดัชนีที่สะท้อนราคาหุ้นปันผลสูง 30 ตัว บนตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยสามารถค้นหาหุ้นปันผลผ่าน Streaming App หรือบนหน้าเว็บไซต์ SET ได้
หุ้นปันผลต้องซื้อก่อน XD กี่วัน?
หุ้นปันผลควรซื้อก่อนวัน XD 1 เดือน หรือนับตั้งแต่วันที่บริษัทมีการประกาศขึ้นเครื่องหมาย XD เพราะหากคุณซื้อก่อนวันขึ้น XD 1-2 วัน หุ้นปันผลจะมีความเสี่ยงเป็นอย่างมาก
เราได้อะไรจากหุ้นที่ไม่จ่ายปันผล?
หุ้นไม่จ่ายปันผลจะให้ผลตอบแทนในระยะยาว ซึ่งเป็นผลตอบแทนแบบทบต้น หากบริษัทมีผลกำไรและการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ผลตอบแทนของนักลงทุนจะถูกทบไปเรื่อย ๆ
สรุปหุ้นปันผล VS หุ้นไม่ปันผล แบบไหนดีกว่า?
จากที่กล่าวไปข้างต้น จะเห็นได้ว่า ทั้งหุ้นปันผลและหุ้นไม่ปันผลมีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกันค่ะ ซึ่งการเลือกว่า หุ้นแบบไหนดี? คุณน้าขอบอกว่า ขึ้นอยู่กับเป้าหมายการลงทุนของคุณ ซึ่งจะประกอบไปด้วย 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่ เงิน, ผลตอบแทน และระยะเวลา โดยคุณต้องพิจารณาถึงความต้องการของตนเองว่า ต้องการลงทุนไปเพื่ออะไร ซึ่งหากต้องการถือกระแสเงินสดในการใช้จ่ายเป็นประจำก็ควรเลือกหุ้นปันผล แต่หากต้องการผลตอบแทนแบบทบต้นในระยะยาว ก็ควรเลือกหุ้นไม่ปันผลนั่นเองค่ะ
อย่างไรก็ดี มีสิ่งหนึ่งที่หุ้นปันผลและหุ้นไม่ปันผลใช้เป็นเกณฑ์ในการพิจารณาเหมือนกัน นั่นก็คือ การเลือกบริษัทที่ดีค่ะ ดีในแง่นี้ ก็คือ บริษัทพื้นฐานดี, งบการเงินดี, มีโครงสร้างหนี้เหมาะสม, ผลกำไรเป็นบวก และที่สำคัญยังมีโอกาสเติบโตในอนาคต ซึ่งนักลงทุนอย่าลืมว่า ความเสี่ยงของหุ้นทั้ง 2 ประเภทนี้ คือ ไม่สามารถการันตีได้ว่า จะได้รับผลตอบแทนแน่นอน 100% เนื่องจากตลาดหุ้นมีความผันผวนสูง อีกทั้งหุ้นแต่ละตัวยังต้องอาศัยหลายปัจจัยในการพิจารณา ฉะนั้นแล้ว หากบริษัทมีการบริหารที่ดี นั่นก็เท่ากับว่า เงินลงทุนมีโอกาสเพิ่มพูนและงอกเงยในอนาคตค่ะ
และสุดท้ายนี้ คุณน้าหวังว่า บทความนี้จะเป็นประโยชน์ให้กับใครหลาย ๆ คน ที่กำลังเริ่มต้นลงทุนในตลาดหุ้น โดยบทความหน้า คุณน้าจะพาทุกคนไปรู้จักกับการลงทุนประเภทไหน อย่าลืมติดตามกันให้ดีนะคะ
สำหรับใครที่สนใจอ่านรีวิวโบรกเกอร์ : Review Brokers
บทความในเรื่องการลงทุนที่น่าสนใจ : Investing
คลังความรู้จากคุณน้า : Knowledge