รู้ไว้ ภาษีมรดกและภาษีการให้โดยเสน่หา ใครต้องจ่ายบ้าง?

รู้ไว้ ภาษีมรดกและภาษีการให้โดยเสน่หา ใครต้องจ่ายบ้าง?

ภาษีมรดกและภาษีการให้โดยเสน่หา
Table of Contents

ก้าวเข้ามาสู่ช่วงเสียภาษีกันอีกแล้วนะคะ ในวันนี้คุณน้าจะอาสาพาทุกคนมารู้จักกับภาษีที่ไม่ค่อยมีใครพูดถึงเท่าที่ควร อย่างภาษีมรดกและภาษีการให้โดยเสน่หากันค่ะ ทุกคนเคยสังเกตกันไหมคะว่า ภาษีมรดกและภาษีการให้โดยเสน่หา คืออะไร? มีสินทรัพย์ใดเข้าเกณฑ์เสียภาษี และที่สำคัญใครต้องเสียภาษีบ้าง? บทความนี้มีคำตอบค่ะ

*หมายเหตุ : บทความนี้เป็นเพียงบทความให้ความรู้เท่านั้น ไม่ได้เป็นการชักชวนเพื่อลงทุนแต่อย่างใด โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

ภาษีมรดก คืออะไร?

ภาษีมรดก คือ ภาษีที่เรียกเก็บจากผู้รับมรดก เมื่อเจ้าของมรดกถึงแก่ความตาย ซึ่งค่ามรดกสุทธิรวมกันเกิน 100 ล้านบาท ผู้รับมรดกจะต้องเสียภาษีตามที่กฎหมายกำหนดไว้ให้แก่กรมสรรพากรผู้ซึ่งมีหน้าที่ในการเรียกเก็บค่ะ

“ผู้รับมรดกจะต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีการรับมรดก ภ.ม. 60 และต้องชำระภาษีภายใน 150 วัน นับจากวันที่ได้รับมรดก”

สำหรับสินทรัพย์ที่เข้าเกณฑ์ต้องเสียภาษีมรดกจะเป็นสินทรัพย์ที่มีการจดทะเบียน โดยมีรายละเอียด ดังนี้ค่ะ

  • อสังหาริมทรัพย์ ยกตัวอย่างเช่น ที่ดิน, บ้าน, อาคาร หรือคอนโดมิเนียม เป็นต้น
  • เงินฝากธนาคาร
  • หลักทรัพย์ตามกฎหมาย ยกตัวอย่างเช่น กองทุนรวม หรือหุ้น เป็นต้น
  • ยานพาหนะที่มีทะเบียน ยกตัวอย่างเช่น รถจักรยานยนต์, รถยนต์, เรือ หรือเครื่องบิน
  • ทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้นจากพระราชกฤษฎีกา ยกตัวอย่างเช่น ตั๋วเงินคลัง, พันธบัตร หรือหุ้นกู้ เป็นต้น

🔍 ข้อสังเกต : สินทรัพย์ที่กล่าวไปข้างต้น จะถูกคำนวณจากราคาประเมินหรือราคาตลาด ณ วันที่ได้รับมรดกเท่านั้น

สินทรัพย์ใดได้รับการยกเว้นเสียภาษีมรดก 🔍
สำหรับสินทรัพย์ที่ได้รับการยกเว้นเสียภาษีมรดก มีรายละเอียด ดังนี้
– สิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ ที่ไม่มีการขึ้นทะเบียนระบุชื่อเจ้าของ ยกตัวอย่างเช่น ภาพวาด, ประติมากรรม หรือวัตถุโบราณ เป็นต้น
– ทรัพย์สินที่ยกให้เป็นสาธารณประโยชน์ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
– สินไหมจากประกันชีวิต


ผู้รับมรดกเกิน 100 ล้านบาท จะต้องเสียภาษีมรดกตามที่กฎหมายกำหนดไว้ ซึ่งสามารถแบ่งออกได้ตามตารางด้านล่าง ดังนี้ค่ะ

อัตราภาษีมรดกที่ต้องเสียผู้ที่ต้องเสียภาษี
กรณีไม่เกิน 100 ล้านบาท ต่อปีภาษีไม่ต้องเสียภาษี
กรณีเกิน 100 ล้านบาท ต่อปีภาษีผู้สืบสันดาน, พ่อแม่ หรือปู่ย่าตายาย เสียภาษี 5% ส่วนบุคคลอื่น เสียภาษี 10%


จากที่กล่าวไปข้างต้น จะเห็นได้ว่า ผู้รับมรดกจะต้องเสียภาษี หากมูลค่าสุทธิของมรดกรวมกันเกิน 100 ล้านบาท ต่อปีภาษี แล้วอย่างนี้ เรามีวิธีการคิดภาษีมรดกยังไง? คุณน้าขอยกตัวอย่างการคำนวณภาษีมรดก ทั้งภาษี 5% และ 10% เพื่อให้ผู้เสียภาษีได้เห็นภาพชัดเจนมากยิ่งขึ้น โดยมีรายละเอียด ดังต่อไปนี้ค่ะ

สูตรการคำนวณมูลค่ามรดกที่ต้องเสียภาษี 5%

สูตรการคำนวณมูลค่ามรดกที่ต้องเสียภาษี 5% สามารถคำนวณได้ ดังนี้

ภาษีมรดกที่ต้องจ่าย = (มูลค่ามรดกสุทธิ – 100 ล้านบาท) x 5%

ตัวอย่างเช่น นายสมบัติเป็นผู้รับมรดกที่ดินมูลค่าสุทธิรวมทั้งหมด 200 ล้านบาทจากบิดา ซึ่งไม่มีหนี้สินใด ๆ นายสมบัติจะต้องเสียภาษีมรดก 5% เท่ากับ 5,000,000 บาท ซึ่งสามารถคำนวณได้ ดังนี้ 

ภาษีมรดกที่ต้องจ่าย = (มูลค่ามรดกสุทธิ – 100 ล้านบาท) x 5%

= (200,000,000 – 100,000,000) x 5%

= 5,000,000 บาท

สูตรการคำนวณมูลค่ามรดกที่ต้องเสียภาษี 10%

สูตรการคำนวณมูลค่ามรดกที่ต้องเสียภาษี 10% สามารถคำนวณได้ ดังนี้

ภาษีมรดกที่ต้องจ่าย = (มูลค่ามรดกสุทธิ – 100 ล้านบาท) x 10%

ตัวอย่างเช่น คุณน้าได้รับมรดกจากเจ้านายที่เสียไป เป็นคอนโดมิเนียมย่านสีลมและรถสปอร์ตสุดหรู 1 คัน มูลค่ารวมกันทั้งสิ้น 450,000,000 บาท โดยเจ้านายไม่มีหนี้สินใด ๆ ทำให้คุณน้าจะต้องเสียภาษีมรดก 10% เท่ากับ 35,000,000 บาท ซึ่งสามารถคำนวณได้ ดังนี้ 

ภาษีมรดกที่ต้องจ่าย = (มูลค่ามรดกสุทธิ – 100 ล้านบาท) x 10%

= (450,000,000 – 100,000,000) x 10%

= 35,000,000 บาท

เนื่องจากการเสียภาษีมรดกเป็นเงินจำนวนค่อนข้างสูง ซึ่งผู้เสียภาษีมรดกสามารถผ่อนชำระได้นะคะ โดยสามารถยื่นคำร้องขอผ่อนชำระ ดังนี้ค่ะ

  • ขอผ่อนชำระภายใน 2 ปี จะได้รับการยกเว้นในการเสียเงินเพิ่มเติม
  • ขอผ่อนชำระภายใน 2 ปี แต่ไม่เกิน 5 ปี จะต้องเสียเงินเพิ่ม 0.5% ต่อเดือน

*หมายเหตุ : หากผู้ขอผ่อนชำระภาษีมรดกผิดนัดชำระงวดใดงวดหนึ่ง ผู้ขอผ่อนชำระจะต้องเสียภาษีมรดกที่ค้างไว้ทั้งหมดโดยทันที

ผู้รับมรดกสามารถยื่นภาษีมรดกได้จะต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีรับมรดก (ภ.ม.60) ที่กรมสรรพากรหรือผ่านเว็บไซต์กรมสรรพากร ซึ่งจะต้องชำระภาษีภายใน 150 วัน นับตั้งแต่วันได้รับมรดก และเพื่อให้เห็นภาพให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น คุณน้าขอยกตัวอย่าง 2 กรณี โดยมีรายละเอียด ดังนี้

กรณีเลยระยะเวลาเสียภาษีมรดก 

หากผู้เสียภาษีมรดกยื่นแบบแสดงรายการภาษี หลังจากระยะเวลาที่กำหนด จะต้องชำระภาษีมรดกพร้อมกับเงินเพิ่ม 1.5% ต่อเดือน โดยเป็นการเสียค่าปรับ 2 เท่า ของภาษีเงินได้ที่ต้องชำระนั่นเองค่ะ

กรณีผู้เสียภาษีมรดกถึงแก่ชีวิต

  • เสียชีวิตก่อนครบกำหนดปีภาษี : ผู้จัดการมรดกจะต้องยื่นแบบและเสียภาษีมรดก 1.5% ต่อเดือน แทนผู้ตายภายใน 150 วันนับตั้งแต่วันที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้จัดการมรดก โดยไม่ต้องเสียค่าปรับ
  • เสียชีวิตเมื่อครบกำหนดปีภาษี : หากผู้ตายยังไม่ได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษี ผู้จัดการมรดกจะต้องยื่นแบบและเสียภาษีมรดก 1.5% ต่อเดือน แทนผู้ตายภายใน 150 วันนับตั้งแต่วันที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้จัดการมรดก โดยจะต้องเสียค่าปรับ 1 ของภาษีมรดกที่ต้องชำระ

💡เกร็ดความรู้เกี่ยวกับผู้จัดการมรดก : 

ผู้จัดการมรดกจะต้องได้รับการแต่งตั้งภายใน 180 วัน ซึ่งหากไม่มีการแต่งตั้งผู้จัดการมรดกให้ทายาทที่มีสิทธิในการรับมรดกเป็นผู้ยื่นแบบและชำระภาษีภายใน 150 วัน และหากผู้เสียชีวิตมีทายาทรับมรดกหลายคน ให้แต่งตั้งทายาท 1 คน ในการทำหน้าที่ยื่นแบบและเสียภาษี แต่หากไม่สามารถตกลงกันได้ ให้ทายาทคนใดคนหนึ่งยื่นคำร้องต่อศาล เพื่อแต่งตั้งผู้จัดการมรดกต่อไปค่ะ


ภาษีการให้โดยเสน่หา คืออะไร?

ภาษีการให้โดยเสน่หา (Gift Tax) คือ ภาษีที่เรียกเก็บจากบุคคลที่ได้รับทรัพย์สินซึ่งให้โดยเสน่หา ในขณะที่ผู้ให้ยังมีชีวิตอยู่ โดยผู้ให้หรือผู้รับจะต้องเสียภาษีในอัตราคงที่ 5% ของมูลค่าสินทรัพย์ที่ได้รับส่วนเกิน โดยมีเกณฑ์ ดังนี้

  • หากมูลค่าสินทรัพย์ส่วนเกิน 10 ล้านบาท ในกรณีผู้รับเงินเป็นบุคคลอื่น
  • หากมูลค่าสินทรัพย์ส่วนเกิน 20 ล้านบาท ในกรณีผู้รับเงินเป็นผู้สืบสันดาน, พ่อแม่ และคู่สมรส

“ภาษีการให้โดยเสน่หาจัดเป็นภาษีเงินได้อื่น ๆ (เงินได้ประเภทที่ 8) ซึ่งผู้เสียภาษีสามารถยื่นแบบฟอร์ม ภ.ง.ด. 90 ได้ด้วยตนเองที่กรมสรรพากรได้เลยค่ะ ”

สินทรัพย์ที่ต้องเสียภาษีการให้โดยเสน่หาจะต้องเป็นสินทรัพย์ที่มีการจดทะเบียน โดยมีรายละเอียด ดังนี้ค่ะ

  • ทรัพย์สินอื่น ๆ ยกตัวอย่างเช่น ตั๋วเงินคลัง, พันธบัตร หรือหุ้นกู้ เป็นต้น
  • อสังหาริมทรัพย์ ยกตัวอย่างเช่น ที่ดิน, บ้าน, อาคาร หรือคอนโดมิเนียม เป็นต้น
  • เงินฝากธนาคาร
  • หลักทรัพย์ตามกฎหมาย ยกตัวอย่างเช่น กองทุนรวม หรือหุ้น เป็นต้น
  • ยานพาหนะที่มีทะเบียน ยกตัวอย่างเช่น รถจักรยานยนต์หรือรถยนต์ เป็นต้น


หากทรัพย์สินที่ได้รับเป็นประเภทสังหาริมทรัพย์ที่สามารถคำนวณเป็นเงินได้ เช่น รถยนต์, เงินสด หรือหุ้น เป็นต้น ผู้ที่จะต้องเสียภาษี คือ ผู้ที่ได้รับเงิน ได้แก่ ผู้สืบสันดาน, พ่อแม่, คู่สมรส หรือบุคคลอื่น

ในขณะที่หากทรัพย์สินเป็นประเภทอสังหาริมทรัพย์ ผู้ที่จะต้องเสียภาษี คือ ผู้โอนกรรมสิทธิ์นั่นเองค่ะ โดยอัตราการเสียภาษีมีรายละเอียด ตามตารางด้านล่าง ดังนี้

อัตราภาษีการให้โดยเสน่หาที่ต้องเสียผู้ที่ต้องเสียภาษี
กรณีไม่เกิน 10 ล้านบาทและ 20 ล้านบาท ต่อปีภาษีไม่ต้องเสียภาษี
กรณีเกิน 10 ล้านบาทหรือ 20 ล้านบาท ต่อปีภาษีเสียภาษีส่วนเกินในอัตราคงที่ 5%

การคำนวณภาษีการให้โดยเสน่หาจะถูกคิดในอัตราภาษีคงที่ 5% ของมูลค่าทรัพย์สินส่วนเกิน 10 ล้านบาท หรือ 20 ล้านบาท โดยมีสูตรการคำนวณ ดังนี้ค่ะ

ภาษีการให้โดยเสน่หา = (ภาษีส่วนเกิน – 10 ล้านบาท หรือ 20 ล้านบาท) x อัตราภาษีคงที่ 5%

ยกตัวอย่างเช่น คุณน้าได้รับที่ดินจากบิดา โดยสามารถประเมินมูลค่าที่ดินได้ในราคา 22 ล้านบาท บิดาจะต้องเสียภาษีการให้โดยเสน่หาในอัตราคงที่ 5% เท่ากับ 100,000 บาท ซึ่งสามารถคำนวณได้ ดังนี้

ภาษีการให้โดยเสน่หา = (ภาษีส่วนเกิน – 20 ล้านบาท) x อัตราภาษีคงที่ 5%

= (22,000,000 – 20,000,000) x 5%

= 100,000 บาท

รวมเคล็ดลับการยื่นภาษีฉบับรวบรัด!


1. พ่อแม่โอนบ้านให้ลูก เสียภาษีไหม?

พ่อแม่โอนบ้านให้ลูกที่ชอบด้วยกฎหมาย จะต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา หากมูลค่าบ้านตีราคาประเมินมากกว่า 20 ล้านบาท พ่อแม่จะต้องเสียภาษีส่วนเกินในอัตราคงที่ 5%

2. ภาษีการให้โดยเสน่หา (Gift Tax) ถือเป็นภาษีประเภทใด?

ภาษีการให้โดยเสน่หา Gift Tax ถือเป็นภาษีประเภทที่ 40(8) เนื่องจากเป็นเงินได้ประเภทอื่น ๆ ซึ่งได้รับโดยเสน่หานั่นเอง

3. ภาษีมรดกและภาษีการให้โดยเสน่หาแตกต่างกันอย่างไร?

ภาษีมรดกเกิดขึ้น เมื่อเจ้าของมรดกเสียชีวิต แล้วส่งต่อให้ทายาทหรือผู้รับมรดก ในขณะที่ภาษีการให้โดยเสน่หาเกิดขึ้น เมื่อเจ้าของทรัพย์สินส่งมอบให้ทายาทหรือผู้รับ ในขณะที่ยังคงมีชีวิตอยู่

4. วางแผนภาษีมรดกอย่างไรให้อุ่นใจ

เจ้าของมรดกสามารถวางแผนการจัดการ สำหรับภาษีมรดกในอนาคต โดยสามารถวางแผนได้ตาม 3 ขั้นตอน ดังนี้ค่ะ

  1. สำรวจทรัพย์สินอยู่เสมอและทำพินัยกรรมให้เรียบร้อย
  2. ทำประกันชีวิตและระบุให้ผู้รับผลประโยชน์ในกรมธรรม์เป็นทายาทที่จะได้รับสินไหมทดแทนในก้อนสุดท้าย
  3. ทยอยส่งมอบทรัพย์สินในแต่ละปีไม่ให้เกินมูลค่าทรัพย์สินที่จะต้องเสียภาษี

5. อัดฉีดเงินของนักกีฬาและสตาฟโค้ชจะต้องเสียภาษีการให้โดยเสน่หาหรือไม่?

นักกีฬาและสตาฟโค้ชที่ได้รับอัดฉีดเงินเกิน 10 ล้านบาท จะได้รับการยกเว้นในการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในกรณีพิเศษ เนื่องจากได้สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศนั่นเองค่ะ


สรุปภาษีมรดกและภาษีการให้โดยเสน่หา

ทั้งหมดนี้ก็คือ ภาษีมรดกและภาษีการให้โดยเสน่หาที่ทุกคนไม่ควรมองข้ามค่ะ เพราะถือเป็นเรื่องที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ โดยเฉพาะกับใครที่ได้รับมรดกหรือทรัพย์สินที่มีมูลค่าสูง ควรศึกษารายละเอียดของภาษีทั้ง 2 ประเภทนี้ให้ดี เพื่อให้คุณสามารถวางแผนและจัดการภาษีให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยคุณน้าหวังว่า บทความนี้จะเป็นประโยชน์ สำหรับการวางแผนทรัพย์สินที่ดีในอนาคตนะคะ

ขอบคุณข้อมูลจาก iTax (ภาษีมรดก), iTax (ภาษีการรับให้), AP Thailand และ KrungSri


สำหรับใครที่สนใจอ่านรีวิวโบรกเกอร์ : Review Brokers

บทความในเรื่องการลงทุนที่น่าสนใจ : Investing

คลังความรู้จากคุณน้า : Knowledge

Picture of khunnaphatrade
khunnaphatrade
Recent Post
เทรด Forex โบรกไหนดี อัปเดตทุก Rank 2025
เทรด Forex โบรกไหนดี อัปเดตการจัดอันดับทุก Rank 2025

เทรด Forex โบรกไหนดีนะ? คุณน้าจะพาไปดูการจัดอันดับ Top 3 โบรกเกอร์ของแต่ละ Rank กันค่ะว่า ถ้าอยากเทรดแบบนี้ควรเลือกโบรกไหน! ถ้าพร้อมแล้วไปติดตามกันค่ะ

โบรกเกอร์ Forex ที่น่าเชื่อถือ 2025
5 โบรกเกอร์ Forex ที่น่าเชื่อถือ ปี 2025

โบรกเกอร์ Forex ที่น่าเชื่อถือ ปี 2025 จากคุณน้า ทำการตรวจสอบความน่าเชื่อถือโบรกเกอร์ Forex เพื่อลดความเสี่ยงในการเจอโบรกเกอร์ Forex หลอกลวง ปิดหนี!

เทรดหุ้น CFD กับ IUX โบรกเกอร์หุ้นค่าธรรมเนียมถูก
เทรดหุ้น CFD กับ IUX โบรกเกอร์หุ้น ค่าธรรมเนียมถูก?! อัปเดตปี 2025

ในวันนี้คุณน้าจะมานำเสนอเทรดหุ้น CFD กับ IUX โบรกเกอร์หุ้น ค่าธรรมเนียมถูก พร้อมเจาะคุณสมบัติเด่น ๆ ของ IUX ว่ามีอะไรบ้าง? !