Gen Y และ Gen X เป็นช่วงวัยที่สร้างหนี้เสียและเสี่ยงติดเครดิตบูโรสูงสุด! เพราะบริหารเงินผิด นอกจากชีวิตจะเปลี่ยนแล้ว อาจทำให้เสียประวัติด้วย คุณน้าจึงอยากพาไปทำความรู้จัก “หนี้เสีย หรือ NPL ว่าหนี้เสียคืออะไร” เกิดจากอะไร และมีวิธีแก้หรือไม่? ถ้าพร้อมแล้วไปติดตามกันค่ะ
*หมายเหตุ : บทความนี้เป็นเพียงบทความให้คำแนะนำเท่านั้น ไม่ใช่บทความชักชวนการลงทุนแต่อย่างใด
หนี้เสีย คืออะไร?
หนี้เสีย หรือ NPL ย่อมาจาก Non-Performing Loan หากแปลตรงตัวจะหมายถึงสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ นั่นก็คือ หนี้หรือสินเชื่อที่ไม่สามารถชำระคืนได้ตามกำหนด และไม่ก่อให้เกิดรายได้ในอนาคตค่ะ อีกทั้งยังอาจทำให้เกิดการฟ้องร้อง ยึดทรัพย์ และเสียเครดิตได้ค่ะ
🔍 หนี้เสีย ดูยังไง และบ่งบอกถึงอะไร?
จากที่กล่าวไปข้างต้น จะเห็นได้ว่า หนี้เสียเป็นหนี้หรือสินเชื่อที่ไม่สามารถชำระคืนได้ตามกำหนด ซึ่งเรียกง่าย ๆ ว่า ลูกหนี้มีการผิดนัดชำระหนี้นั่นเองค่ะ ซึ่งหนี้เสียสามารถดูได้จากความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ธนาคาร โดยมีรายละเอียด ดังนี้
- หากหนี้เสีย หรือ NPL มีค่าสูง จะเท่ากับว่า ลูกหนี้ของธนาคารมีการผิดนัดชำระหนี้เป็นจำนวนมาก
- หากหนี้เสีย หรือ NPL มีค่าต่ำ จะเท่ากับว่า ลูกหนี้ของธนาคารมีการผิดนัดชำระหนี้เป็นจำนวนน้อยลง
ด้วยเหตุนี้เอง ค่าหนี้เสียหรือ NPL สามารถบ่งบอกได้ว่า ในตอนนั้นเศรษฐกิจของประเทศเป็นอย่างไร โดยสามารถวัดได้จากค่า NPL ว่าสูงหรือต่ำนั่นเอง
ไม่จ่ายกี่เดือนถึงเป็นหนี้เสีย?
โดยปกติแล้ว การกู้ยืมเงินจะมีระยะเวลาชำระหนี้อยู่ที่ 90 วัน นั่นหมายความว่า หากเกินระยะเวลาดังกล่าวแล้ว ลูกหนี้จะไม่สามารถชำระเงินคืนได้ หนี้เหล่านั้นจะกลายเป็นหนี้เสียนั่นเองค่ะ
หนี้เสียปี 2024 มีอะไรบ้าง?
ข้อมูลหนี้เสียในไตรมาสที่ 1 ของปี 2024 ระบุว่าหนี้เสียครัวเรือนพุ่งสูงถึง 1.09 ล้านล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 14.9% จากปีก่อน ทำให้บริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (เครดิตบูโร) เป็นห่วงว่า ลูกหนี้จะไม่สามารถจ่ายหนี้ได้ค่ะ โดยหนี้เสียสูงสุด 3 ลำดับแรก ได้แก่
- สินเชื่อรถยนต์ อยู่ที่ 2.38 แสนล้านบาท
- ยอดหนี้บัตรเครดิตอ ยู่ที่ 5.5 แสนล้านบาท
- หนี้ครัวเรือน อยู่ที่ 16.9 ล้านล้านบาท
หนี้เสีย VS หนี้ดี ต่างกันอย่างไร?
หนี้เสีย
ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ในอนาคต ตัวอย่างหนี้เสีย เช่น
- หนี้บัตรเครดิต
- หนี้ที่ไม่สามารถชำระได้ตามกำหนด
- หนี้นอกระบบ
หนี้ดี
ก่อให้เกิดประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่ง ตัวอย่างหนี้ดี เช่น
- หนี้เพื่อการประกอบอาชีพ
- หนี้เพื่อการศึกษา
- หนี้เพื่อความมั่นคงระยะยาว
สาเหตุที่ทำให้เกิดหนี้เสีย มีอะไรบ้าง?
จากที่คุณน้าได้หาข้อมูลและสังเกตจากคนรอบตัวแล้ว สาเหตุของหนี้เสียส่วนมากมาจากปัจจัยเหล่านี้ค่ะ
- ความจำเป็นและภาระส่วนตัว
- ความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้
- วินัยและการจัดการทางการเงิน
คนที่เป็นหนี้หลายคนอาจมีภาระส่วนตัวที่แตกต่างกันไป บางคนอาจจะสร้างหนี้เพราะถูกกดดันจากครอบครัว หรือบางคนก็อาจสร้างหนี้จากความต้องการตัวเองค่ะ แต่สิ่งที่ตามมาในภายหลัง คือ ลูกหนี้ไม่สามารถจ่ายหนี้เหล่านั้นได้ เนื่องจากรายได้ไม่เพียงพอ หรืออาจจะเพราะไม่มีวินัยในการบริหารเงิน จนทำให้เกิดหนี้เสียในที่สุดค่ะ
หนี้เสียส่งผลต่อเราอย่างไร?
หลายคนอาจมองว่า การยืมเงินมาใช้จ่ายส่วนตัวเป็นเรื่องประเดี๋ยวประด๋าว ถ้ามีเงินก็แค่ใช้คืน คุณน้าขอเตือนเลยค่ะว่าถ้าไม่พร้อมจ่ายหนี้อย่าทำเด็ดขาด เพราะมันจะส่งผลเสียต่อเราในอนาคต ดังนี้ค่ะ
- ถูกทวงถามหนี้ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายในการทวงถามต่อไป
- กลายเป็นประวัติทางการเงินที่ติดตัว จนอาจทำให้ติดเครดิตบูโร
- ในอนาคตจะทำให้การกู้ยืมเงินเป็นไปได้ยาก หรืออาจจะถูกปฏิเสธไม่ให้กู้
- หนี้พอกพูนจากเงินที่ค้างชำระ
- กระทบต่อการใช้จ่ายในชีวิตประจำวันและส่วนอื่น ๆ
หากลูกหนี้เสียชีวิต ทายาทต้องใช้หนี้ต่อไหม?
อันดับแรก คุณน้าจะพามาทำความเข้าใจเกี่ยวกับ “มรดก” กันก่อนค่ะ
“กองมรดกของผู้ตาย ได้แก่ ทรัพย์สินทุกชนิดของผู้ตาย ตลอดทั้งสิทธิหน้าที่และความรับผิดต่าง ๆ เว้นแต่ตามกฎหมายหรือว่าโดยสภาพแล้ว เป็นการเฉพาะตัวของผู้ตายโดยแท้” (ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1600) |
นั่นหมายความว่า มรดก คือ ทรัพย์สินของผู้ตายที่ตกทอดแก่ทายาท ซึ่งรวมถึงหนี้สินด้วยค่ะ ดังนั้น หากลูกหนี้เสียชีวิต ทายาทจึงมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบใช้หนี้ต่อค่ะ แต่อย่างไรก็ตาม เจ้าหนี้สามารถติดตามหนี้กับทายาทเท่าที่ได้รับมรดกเท่านั้น หากหนี้เกินกว่ามรดกที่ได้รับ ทายาทก็ไม่จำเป็นต้องจ่ายส่วนเกินให้ค่ะ
🔍 ข้อควรระวังเกี่ยวกับหนี้มรดก
- เจ้าหนี้ต้องฟ้องเอาเงินจากกองมรดกภายใน 1 ปี นับตั้งแต่เจ้าหนี้รู้ว่าเจ้าของมรดกเสียชีวิตเท่านั้น แต่ถ้ามีหลักฐานพิสูจน์ได้ว่าเจ้าหนี้ไม่รู้ ก็สามารถฟ้องได้ภายใน 10 ปีค่ะ
- การฟ้องทายาทมรดกให้ชำระหนี้ต้องฟ้องทุกคน จะฟ้องคนใดคนหนึ่งไม่ได้
- หากทายาทไม่ได้รับมรดกเลย เจ้าหนี้ไม่สามารถบังคับให้ทายาทหาเงินเพื่อมาใช้หนี้แทนผู้ตายได้ค่ะ
- ตามข้อกฎหมายเกี่ยวกับหนี้มรดกนั้น ใช้ได้กับหนี้ที่ถูกต้องตามกฎหมายเท่านั้น ไม่สามารถใช้ได้กับหนี้นอกระบบ
- ทายาทต้องอ่านหนังสือสัญญารับสภาพหนี้ให้ละเอียดก่อนเซ็นชื่อยินยอมเป็นลูกหนี้ต่อ
5 Step แก้หนี้เสีย (NPL) ง่าย ๆ เพื่อเครดิตที่ดี!
เรื่องการเงินเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใกล้ตัวสำหรับคนไทย แต่เราแทบไม่เคยได้รับการปลูกฝังเรื่องการบริหารเงินมาก่อน ดังนั้น หากพลาดเป็นหนี้แล้วก็ต้องตั้งสติและเดินหน้าต่อไปค่ะ ซึ่งคุณน้ามีคำแนะนำสำหรับการแก้หนี้ให้ทุกคนนำไปปรับใช้ทั้งหมด 5 Step โดยมีรายละเอียด ดังนี้ค่ะ
Step 1 : สำรวจหนี้สิน, ค่าใช้จ่าย และรายได้ของตัวเอง
ก่อนจะเริ่มแก้หนี้ เราต้องสำรวจหนี้สินทั้งหมดว่ามียอดเท่าไหร่ เรียงลำดับความสำคัญก่อนหลัง จากนั้น สำรวจค่าใช้จ่ายและรายได้ของตัวเองเพื่อหาแผนการเงินที่เหมาะสมต่อไปค่ะ
Step 2 : วางแผนทางการเงินเพื่อปลดหนี้
ลำดับต่อมา คือ การวางแผนทางการเงิน (Money Management) เพื่อปลดหนี้ โดยแบ่งเงินออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่
- เงินสำหรับใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน
- เงินสำหรับสิ่งที่จำเป็น (เช่น ค่าที่พักอาศัย, ค่าน้ำ และค่าไฟ เป็นต้น)
- เงินสำหรับใช้หนี้
โดยอัตราส่วนการแบ่งเงินที่ได้รับความนิยม คือ 50/30/20 ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม การแบ่งเงินดังกล่าวจะขึ้นอยู่กับยอดหนี้, ค่าใช้จ่าย และรายได้ของตัวเองเป็นหลัก แต่อย่างน้อย ๆ จะต้องแบ่งเงินไว้จ่ายหนี้ 10% ของรายได้ค่ะ
🔍 เกร็ดความรู้! ทำไมต้องแบ่งจ่ายหนี้ 10% ของรายได้?
การแบ่งจ่ายหนี้ 10% ของรายได้ เป็นการหักค่าใช้จ่ายที่เหมาะสมและไม่ถือว่าสูงจนเกินไปค่ะ เพราะบางคนมีภาระค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือนค่อนข้างสูง ทำให้การหักเปอร์เซ็นต์ที่มากจนเกินไป อาจก่อให้เกิดความเครียด จนสุดท้ายไม่สามารถวางแผนทางการเงินเพื่อปลดหนี้ได้สำเร็จนั่นเองค่ะ
Step 3 : เจรจาแก้ไข NPL เพื่อรักษาเครดิต
ถ้ามีหนี้เยอะและหนี้นั้นเป็นหนี้ในระบบ เราอาจจะต้องเจรจากับเจ้าหนี้ เพื่อขอยืดระยะเวลาการชำระหนี้หรือลดจำนวนดอกเบี้ยลงชั่วคราว เพื่อให้สอดคล้องกับรายได้และแผนการเงินของเราค่ะ ซึ่งมันจะทำให้ลดภาระการจ่ายหนี้และดอกเบี้ยพอกพูนต่อไปค่ะ
⭐ ข้อควรรู้เพิ่มเติม คือ ถ้าปรับโครงสร้างหนี้ก่อนที่จะค้างชำระเกินกำหนด 90 วัน จะไม่ทำให้เสียประวัติค่ะ
Step 4 : ทำตามแผนที่ตั้งไว้
หลังจากที่วางแผนจัดสรรเงินแล้ว ทุกคนจะต้องทำตามแผนที่วางไว้อย่างเคร่งครัด เพราะหากไม่มีวินัยอาจจะส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันหรือสิ่งรอบตัวได้ ดังนั้น เราจึงต้องวางแผนที่พอดีกับกำลังของตัวเอง เพื่อให้เราสามารถจ่ายหนี้คืนได้นั่นเองค่ะ
Step 5 : จ่ายหนี้ให้ตรง ไม่ก่อหนี้เพิ่ม
ระยะเวลาในการเรียกเก็บหนี้ของเจ้าหนี้แต่ละเจ้าจะไม่ตรงกันอยู่แล้ว ดังนั้น เราจึงควรเรียงลำดับความสำคัญก่อนหลังให้ดี เพื่อให้เกิดสภาพคล่องทางการเงินสูงสุดค่ะ เพราะหากจ่ายไม่ตรงเวลาจะมีการเรียกเก็บดอกเบี้ยเพิ่มเติม ซึ่งจะเป็นการเพิ่มค่าใช้จ่ายโดยไม่จำเป็น ดังนั้น เราจึงต้องพิจารณาจ่ายหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ที่มีอัตราดอกเบี้ยมหาโหดก่อนเป็นอันดับแรกค่ะ
และที่สำคัญอีกข้อเลย คือ ห้ามก่อหนี้เพิ่มอีกเด็ดขาด เพราะไม่งั้นจะกลายเป็นหนี้พอกพูนไม่จบไม่สิ้น กลายเป็นว่า ใช้เท่าไหร่ก็ไม่หมดและทบไปเรื่อย ๆ นั่นเองค่ะ
ทั้งหมดนี้ก็คือ 5 ขั้นตอน ที่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องง่าย ๆ แต่หลายคนกลับทำตามไม่ได้ และเลือกที่จะหันหลังหนีปัญหา ทำให้หนี้พอกพูน ดังนั้น หากทุกคนกำลังเป็นหนี้อยู่ คุณน้าขอแนะนำให้เคลียร์หนี้ตัวเองให้จบ วางแผนการเงินให้ดี และอย่าเป็นหนี้อีกจะดีที่สุดค่ะ!
มีทางด่วนแก้หนี้ไหม?
ทุกเส้นทางไม่มีทางลัด ดังนั้น คุณน้าไม่แนะนำให้หาทางด่วนเพื่อแก้ไขหนี้ที่ตัวเองสร้างไว้โดยเด็ดขาดค่ะ เพราะมันอาจทำให้ปัญหาหนักกว่าเดิม แต่อย่างไรก็ดี หากมีหนี้เสียในระบบมากเกินไป หรือประเทศชาติอยู่ในช่วงวิกฤติ ซึ่งส่งผลให้ทุกคนไม่สามารถจ่ายหนี้ได้ อาจมีการพิจารณาปรับโครงสร้างหนี้ต่อไป
นอกจากนี้ ยังมีผู้คอยให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการแก้หนี้อีกเป็นจำนวนมาก ทั้งคลินิกแก้หนี้*, ผู้ให้คำปรึกษาทางการเงิน และลูกหนี้อีกหลายคนในกลุ่มต่าง ๆ ที่คอยให้คำแนะนำและกำลังใจดี ๆ ดังนั้น คุณน้าจึงหวังว่า ทุกคนที่กำลังเผชิญกับปัญหาหนี้สินจะสามารถผ่านไปได้ค่ะ
📌 Tip! คลินิกแก้หนี้เสีย* คืออะไร?
คลินิกแก้หนี้เสีย คือ หน่วยงานที่ทำหน้าที่แก้ไขปัญหาหนี้แทนเจ้าหนี้ อย่างผู้ประกอบการทางการเงินหรือสถาบันการเงินแบบครบวงจร นอกจากนี้ คลินิกหนี้เสียยังให้ความรู้ที่เกี่ยวกับข้อมูลทางการเงินแก่ประชาชนอีกด้วยค่ะ เพื่อให้ประชาชนสามารถบริหารการเงินได้ดีและลดการก่อให้เกิดหนี้เสียในอนาคตได้ ในปัจจุบันมีคลินิกแก้หนี้เสียให้บริการหลายราย ยกตัวอย่างเช่น บริษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด หรือ Debtclinicbysam เป็นต้น |
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับหนี้เสีย (NPL) คืออะไร?
หนี้เสีย มีอะไรบ้าง?
หนี้เสียสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่ หนี้ที่ไม่สามารถชำระคืนได้ตามกำหนดและหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ในอนาคต
หนี้เสีย มีผลอะไรบ้าง?
หนี้เสียจะส่งผลต่ออนาคตของเราเป็นอย่างมาก ยกตัวอย่างเช่น คุณจะมีประวัติทางการเงินที่ติดตัว จนอาจทำให้ติดเครดิตบูโรได้ หรือแม้แต่การสร้างหนี้ที่เพิ่มพูนมากยิ่งขึ้น
NPL ย่อมาจากอะไร?
NPL ย่อมาจาก Non-Performing Loan คือ หนี้สินหรือสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้นั่นเอง
สรุป หนี้เสีย คืออะไร? แก้ได้ไหม ?!
การบริหารเงินที่ผิดพลาด จ่ายเงินช้า อาจนำไปสู่หนี้เสียได้ ดังนั้น อย่าลืมตรวจสอบหนี้สินให้ดี จ่ายให้ตรงเวลา และวางแผนการเงินให้ดีเพื่อไม่ให้ติดกับดักหนี้จะดีที่สุดค่ะ เพราะหากติดหนี้เสียหรือ NPL และเครดิตบูโรแล้ว จะทำให้เสียประวัติทางการเงิน เวลาจะกู้เงินในอนาคตก็ลำบากหรือกู้ไม่ผ่าน แต่หากเป็นหนี้อยู่ก็มาวางแผนดีให้ดีค่ะ ทุกปัญหามีทางออกเสมอ ด้วยความปรารถนาดีจากทีมงานคุณน้าพาเทรด
ขอบคุณข้อมูลจาก : Bangkokbiznews, DDproperty, Dharmniti, Wealth Connex และ Thai PBS
สำหรับใครที่สนใจอ่านรีวิวโบรกเกอร์ : Review Brokers
บทความในเรื่องการลงทุนที่น่าสนใจ : Investing
คลังความรู้จากคุณน้า : Knowledge