ใครที่กำลังศึกษาหรือว่าสนใจตลาดหุ้นไทย มาอ่านบทความนี้ด่วนค่ะ เพราะว่ามีหลายคนเลยอยากให้คุณน้าแนะนำการเล่นหุ้น หรือ เทรดหุ้น แบบฉบับมือใหม่ให้หน่อย วันนี้คุณน้าเลยอยากจะมาเขียนสรุปการหัดเล่นหุ้นหรือเทรดหุ้นให้ทุกคนได้ลองอ่านกันแบบฉบับเข้าใจง่ายเหมือนเดิมค่ะ
วิธีเริ่มเล่นหุ้นฉบับย่อ
วิธีเล่นหุ้น ทำยังไง ?
- เปิดบัญชี
- เลือกหุ้นที่เราสนใจ ทำการวิเคราะห์ให้ดี
- ทำการซื้อหุ้น (ขั้นต่ำ 100 หุ้น)
- ขายหุ้น เมื่อเราต้องการทำกำไร
มาเริ่มเข้าสู่เนื้อหาสำหรับผู้ที่สนใจลงทุนในตลาดหุ้นหรือเล่นหุ้นกันเลยค่ะ
ทำความรู้จักตลาดหุ้นไทย หรือ SET ก่อนจะเริ่มเล่นหุ้น
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เป็นตลาดหลักทรัพย์หลักในประเทศไทย เป็นตลาดการเงินหลักที่บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สามารถออกและซื้อขายหุ้นและหลักทรัพย์อื่น ๆ ได้ค่ะ โดยตลาดหลักทรัพย์มีบทบาทสำคัญในการอำนวยความสะดวกในการระดมทุนของบริษัทต่าง ๆ หรือเรียกได้ว่าเป็นหน่วยงานที่ทำให้บริษัทต่าง ๆ มีโอกาสนำหุ้นของตนเองเข้ามาเสนอขายแก่นักลงทุน และนักลงทุนสามารถเข้ามาลงทุนในหุ้นต่าง ๆ นั่นเองค่ะ
ลักษณะและหน้าที่ที่สำคัญของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ได้แก่
1.การซื้อขายหุ้น
ตลาดหลักทรัพย์เป็นที่ที่มีการซื้อขายหุ้นของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ บริษัทที่มีคุณสมบัติตรงตามเกณฑ์การจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ และข้อกำหนดด้านกฎระเบียบสามารถซื้อขายหุ้นต่อสาธารณะได้ค่ะ
2.ดัชนี
ดัชนี SET หรือที่เรียกว่า SET Composite Index เป็นดัชนีอ้างอิงที่ติดตามผลการดำเนินงานของหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ โดยจะให้ภาพรวมของอารมณ์และทิศทางของตลาดโดยรวม หรือเรียกง่าย ๆ ว่าเราจะดูภาพรวมของตลาดหุ้นไทยยังไง เราก็จะดูที่ดัชนี SET ค่ะ
3.ข้อกำหนดในการจดทะเบียน
บริษัทที่ต้องการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์จะต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับผลการดำเนินงานที่ครอบคลุมในหลายด้านค่ะ ไม่ว่าจะเป็น ทางการเงิน, ขนาด, การกำกับดูแล และการรายงาน ข้อกำหนดเหล่านี้ได้รับการออกแบบมาเพื่อให้เกิดความโปร่งใสและปกป้องผลประโยชน์ของนักลงทุนนั่นเองค่ะ
และนี่คือตัวอย่างหน้าที่ของ SET หรือตลาดหุ้นไทยค่ะ
และถ้าหากนักต้องการอยากจะลงทุน ก็สามารถเลือกดูได้จากหุ้นที่เข้า IPO ส่วนถ้าใครที่สงสัยว่า หุ้น IPO คืออะไร ก็สามารถหาคำตอบได้ในบทความนี้เลยค่ะ
การเล่นหุ้นแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ๆ คือ
- สายกราฟ
- สายพื้นฐาน
1. การซื้อขายแบบเน้นเทคนิค ดูกราฟเป็นหลัก
สายเทคนิคอลหรือที่เรียกว่าการวิเคราะห์ทางเทคนิค มักจะเน้นไปในด้านการวิเคราะห์ข้อมูลราคาในอดีตของหุ้นเพื่อคาดการณ์การเคลื่อนไหวของราคาในอนาคตค่ะ ซึ่งจะดูว่าพฤติกรรมกราฟเคยเป็นอย่างไรบ้าง แรงซื้อขายเป็นอย่างไร และราคาทำนัยสำคัญที่จุดไหนบ้าง
หลักการสำคัญของการวิเคราะห์ทางเทคนิค ได้แก่
กราฟและรูปแบบ : นักวิเคราะห์ทางเทคนิคมักใช้กราฟราคาหุ้นเพื่อระบุรูปแบบสำคัญค่ะ เช่น แนวโน้ม (เทรนด์หรือทิศทางของราคา), รูปแบบแผนภูมิ (เช่น Double Top, Head and Shoulders) และระดับแนวรับ/แนวต้าน
ตัวชี้วัด : นักวิเคราะห์ทางเทคนิคใช้ตัวชี้วัดทางเทคนิคต่างๆ เช่น Moving Average (MA), Relative Strength Index (RSI), MACD (Moving Average Convergence Divergence) และอื่น ๆ เพื่อให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับโมเมนตัมของหุ้น ความแข็งแกร่งของแนวโน้ม และจุดกลับตัวที่อาจเกิดขึ้น เรียกง่าย ๆ คือหาจุดเข้าสวย ๆ และหาเทรนด์นั่นเองค่ะ
การวิเคราะห์ปริมาณ : ปริมาณการซื้อขาย (จำนวนหุ้นที่ซื้อขาย) มักจะพิจารณาควบคู่ไปกับการเคลื่อนไหวของราคาไปด้วยค่ะ เพราะหากความต้องการสูง อาจจะเกิดแรงซื้อมากขึ้น ทำให้ราคาหุ้นสูงขึ้นไปด้วย
การวิเคราะห์แนวโน้ม : เทรดเดอร์แบบเทคนิคอลมักจะตามเทรนด์หรือแนวโน้มส่วนใหญ่ของตลาดไปจนกว่าจะมีสัญญาณการกลับตัวค่ะ
ปัจจัยด้านพฤติกรรม : การวิเคราะห์ทางเทคนิคยังได้รับอิทธิพลจากปัจจัยด้านพฤติกรรมด้วย เนื่องจากรูปแบบและแนวโน้มสามารถสะท้อนถึงจิตวิทยาและความรู้สึกโดยรวมของผู้เข้าร่วมตลาดได้
.
2. การซื้อขายแบบดูปัจจัยพื้นฐานต่าง ๆ
สายพื้นฐานมักจะมีการเอาข้อมูลและปัจจัยต่าง ๆ เข้ามาคำนวณควบคู่กับการลงทุนค่ะ เช่น การประเมินสถานะทางการเงินของบริษัทเจ้าของหุ้น, ลักษณะการดำเนินธุรกิจ และปัจจัยอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย เพื่อที่จะประเมินมูลค่าที่แท้จริงของบริษัทว่าควรลงทุนหรือไม่ และมีแนวโน้มอย่างไรต่อไปค่ะ
หลักการสำคัญของการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน ได้แก่
งบการเงิน : เทรดเดอร์สายพื้นฐานจะวิเคราะห์งบการเงินของบริษัท ซึ่งรวมถึงงบกำไร, ขาดทุน, งบดุล และงบกระแสเงินสด เพื่อประเมินความสามารถในการทำกำไร สภาพคล่อง และผลการดำเนินงานทางการเงินโดยรวมด้วยค่ะ
รายได้และเงินปันผล : รายงานรายได้และประวัติการจ่ายเงินปันผลเป็นปัจจัยสำคัญอีกหนึ่งอย่าง เพราะบริษัทที่สร้างรายได้และเงินปันผลที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่องก็เรียกได้ว่ามีแนวโน้มที่จะสามารถทำกำไรได้ต่อไป และมีความเสี่ยงน้อยกว่าใช่มั้ยล่ะคะ
คุณภาพการจัดการ : การประเมินทีมผู้บริหารของบริษัท, การกำกับดูแลกิจการ และการตัดสินใจ รวมถึงการใช้กลยุทธ์ก็สะท้อนให้เห็นวิสัยทัศน์และแนวโน้มของราคาหุ้นและธุรกิจของบริษัทนั้น ๆ ด้วยเช่นกันค่ะ
การประเมินมูลค่า : สายพื้นฐานมักจะเปรียบเทียบตัวชี้วัดทางการเงินของบริษัท (เช่น อัตราส่วนราคาต่อกำไร อัตราส่วนราคาต่อบัญชี ฯลฯ) กับคู่แข่ง และค่าเฉลี่ยในอดีตเพื่อพิจารณาว่าหุ้นมีมูลค่าสูงเกินไปหรือต่ำเกินไป ควรลงทุนแล้วหรือไม่
ปัจจัยทางเศรษฐกิจมหภาค : เทรดเดอร์ขั้นพื้นฐานจะพิจารณาตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจในวงกว้าง เช่น อัตราดอกเบี้ย อัตราเงินเฟ้อ และสภาวะตลาดโดยรวม เนื่องจากปัจจัยต่าง ๆ นี้สามารถส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานของบริษัทได้ด้วยเช่นกัน
หมายเหตุ : สำหรับเทรดเดอร์หรือนักลงทุนในตลาดหุ้น ไม่จำเป็นต้องเลือกแนวทางใดแนวทางหนึ่งนะคะ เพราะเราสามารถนำมาใช้ร่วมกันได้ ทั้งสายเทคนิคอลและสายข้อมูลพื้นฐานเลยค่ะ
หุ้นแบ่งออกเป็น 2 ประเภท
1. หุ้นสามัญ
หุ้นสามัญเป็นหุ้นประเภทหนึ่งที่นักลงทุนมักนึกถึงเป็นอันดับต้น ๆ ค่ะ เพราะเวลามีคนพูดถึงการซื้อหรือซื้อขายหุ้นส่วนใหญ่ก็มักจะหมายถึงหุ้นสามัญนี่แหละ
คุณสมบัติของหุ้นสามัญ :
- ผู้ถือหุ้นสามัญมีความเป็นเจ้าของในบริษัทและมีสิทธิได้รับส่วนแบ่งกำไรของบริษัทในรูปของเงินปันผล
- ผู้ถือหุ้นสามัญยังมีสิทธิออกเสียงลงคะแนน ซึ่งช่วยให้สามารถมีส่วนร่วมในการตัดสินใจที่สำคัญขององค์กร เช่น การเลือกตั้งคณะกรรมการและนโยบายบางอย่างของบริษัทด้วยค่ะ
- แต่เวลาได้เงินปันผล หรือหากบริษัทล้มละลาย ผู้ถือหุ้นสามัญจะได้รับผลประโยชน์หรือผลตอบแทนหลังจากกลุ่มผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิค่ะ
2.หุ้นบุริมสิทธิ
หุ้นบุริมสิทธิมีลักษณะที่ผสมผสานทั้งหุ้นและพันธบัตร และมีส่วนร่วมเป็นเจ้าของกิจการเช่นเดียวกับหุ้นสามัญ เพียงแต่ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิไม่มีสิทธิออกเสียงในการบริหาร
ลักษณะของหุ้นบุริมสิทธิ :
- ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิจะได้รับเงินปันผลคงที่ก่อนผู้ถือหุ้นสามัญ ซึ่งหมายความว่าแม้ว่าผลกำไรของบริษัทจะลดลง แต่ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิยังคงได้รับเงินปันผล
- ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิไม่มีสิทธิออกเสียงหรือมีสิทธิออกเสียงที่จำกัดเมื่อเปรียบเทียบกับผู้ถือหุ้นทั่วไป (ออกเสียงได้น้อยกว่า)
- ในกรณีที่มีการชำระบัญชี ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิมีสิทธิเรียกร้องทรัพย์สินของบริษัทสูงกว่าผู้ถือหุ้นสามัญ แต่ยังคงอยู่ภายใต้สิทธิของผู้ถือหุ้นกู้
- หุ้นบุริมสิทธิบางหุ้นเป็นแบบ “สะสม” ซึ่งหมายความว่าหากบริษัทไม่สามารถจ่ายเงินปันผลได้ในช่วงเวลาหนึ่ง เงินปันผลดังกล่าวก็จะสะสมและจะต้องจ่ายก่อนที่จะจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นสามัญค่ะ
และหากใครที่อยากอ่านข้อมูลหุ้นแต่ละประเภทแบบละเอียด สามารถหาคำตอบเพิ่มเติมได้ในบทความนี้เลยนะคะ
ต้องมีเงินเท่าไหร่ถึงจะเล่นหุ้นได้ เริ่มต้นกี่บาท ?
ปกติในตลาดหุ้นไทยจะกำหนดการซื้อหุ้นขั้นต่ำไว้เทียบเท่า 100 หุ้นต่อการซื้อขาย 1 ครั้งค่ะ
นั่นแปลว่า เราไม่สามารถกำหนดราคาขั้นต่ำของการลงทุนหุ้นแต่ละครั้งได้ เพราะจะขึ้นอยู่กับราคาหุ้นที่เราสนใจ
ยกตัวอย่าง : คุณน้าสนใจลงทุนในหุ้น PTT ซึ่งมีราคาหุ้นละ 35 บาท
แปลว่าคุณน้าจะต้องลงทุนในราคา
35 (ราคาหุ้นที่ต้องการลงทุน) x 100 (จำนวนหุ้นขั้นต่ำที่ต้องการลงทุน) = 3500 บาท
เราจะได้ผลตอบแทนจากการเล่นหุ้นยังไงบ้าง ?
เรามีโอกาสได้รับผลตอบแทนหลายแบบในตลาดหุ้นเลยค่ะ ไม่ว่าจะเป็น
- กำไรจากการขายหุ้น
- เงินปันผล
- สิทธิประโยชน์ต่าง ๆ
1. กำไรจากการขายหุ้น
ปกติแล้ว เราจะทำการเก็งกำไรจากการซื้อหุ้นในราคาที่ถูกกว่า เพื่อที่จะขายในราคาที่แพงกว่า และรับกำไรจากส่วนต่างของราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้นค่ะ ซึ่งเราก็ต้องมีการสำรวจและทำการวิเคราะห์ก่อนที่จะลงทุน เพื่อทำกำไรจากส่วนต่างของราคาได้นะคะ (ไม่ใช่แค่ซื้อไว้ก่อนแล้วรอขายน้า หุ้นบางตัวราคาอาจจะลดลงก็ได้ค่ะ)
2.เงินปันผล
เงินปันผลเป็นส่วนหนึ่งของกำไรของบริษัทที่จะแจกจ่ายให้กับผู้ถือหุ้นเป็นประจำค่ะ บริษัทที่จัดตั้งขึ้นหลายแห่งจ่ายเงินปันผลเพื่อดึงดูดนักลงทุนในช่วงแรก แถมยังได้ผลในระยะยาวด้วยค่ะ โดยรายได้จากเงินปันผลนั้นบ่งบอกความมั่นคงทางการเงินของบริษัทที่เราลงทุนได้
3.สิทธิประโยชน์ต่าง ๆ
การเป็นเจ้าของหุ้นหรือหนึ่งในผู้ลงทุน มักจะได้รับสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ในบางครั้งค่ะ ซึ่งอาจจะมาในรูปแบบ Gift Voucher หรืออาจจะเป็น ของรางวัล, การเข้าใช้บริการ, การสะสมเพื่อแลกแต้ม ซึ่งก็จะแล้วแต่ธุรกิจหรือบริษัทที่อาจจะมีความแตกต่างกันออกไป
ปัจจัยที่มีผลต่อตลาดหุ้นไทย
เศรษฐกิจ
โดยด้านเศรษฐกิจก็จะมีปัจจัยแยกย่อยดังนี้ค่ะ
- การเติบโตของ GDP : อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจอาจส่งผลกระทบต่อรายได้ของบริษัทและการใช้จ่ายของผู้บริโภค การเติบโตของ GDP ก็จะทำให้ตลาดหุ้นแข็งแกร่งได้เช่นกันค่ะ
- อัตราเงินเฟ้อ : อัตราเงินเฟ้อที่สูงสามารถทำให้การใช้จ่ายในประเทศลดลง ทำให้มีผลต่อตลาดหุ้น เพราะหากความสามารถในการจับจ่ายซื้อสอยน้อยลง ตลาดหุ้นราคาก็อาจจะลดลงด้วยเช่นกัน
- การว่างงาน : อัตราการว่างงานที่สูงขึ้นอาจส่งผลให้การใช้จ่ายของผู้บริโภคลดลงและรายได้ของบริษัทลดลง ซึ่งส่งผลต่อประสิทธิภาพของตลาดหุ้นด้วยเหมือนกันค่ะ
- ความเชื่อมั่นของผู้บริโภค : เมื่อผู้บริโภคมั่นใจเกี่ยวกับเศรษฐกิจ ก็มีแนวโน้มที่จะใช้จ่ายมากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลเชิงบวกต่อรายได้ของธุรกิจและราคาหุ้นเช่นกัน
อุตสาหกรรม
- วัฏจักรเศรษฐกิจ : อุตสาหกรรมต่าง ๆ สามารถไหลไปตามเศรษฐกิจของประเทศและวัฏจักรของเศรษฐกิจค่ะ อย่างอุตสาหกรรมบางประเภท เช่น เทคโนโลยี อาจได้รับประโยชน์ในช่วงเศรษฐกิจขาขึ้น ในขณะที่ภาคการป้องกัน เช่น สาธารณูปโภค อาจได้ประโยชน์ดีกว่าในช่วงขาลงของเศรษฐกิจ
- ปัจจัยเฉพาะภาคส่วน : เช่น พลวัตของอุปสงค์และอุปทาน การเปลี่ยนแปลงด้านกฎระเบียบ และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี สามารถมีอิทธิพลต่อประสิทธิภาพของแต่ละอุตสาหกรรมได้ ก็ส่งผลต่อหุ้นแต่ละอุตสาหกรรมด้วย หรืออาจจะเกิดกับบางตัวก็ได้เช่นกันค่ะ
บริษัท
- รายงานรายได้ : ประสิทธิภาพทางการเงินของบริษัท รวมถึงรายได้, อัตรากำไร และการเติบโตของกำไร ส่งผลโดยตรงต่อราคาหุ้นของบริษัท รายได้ที่แข็งแกร่งอาจส่งผลให้ราคาแข็งค่าขึ้น ในขณะที่กำไรที่อ่อนแออาจทำให้ราคาลดลงได้
- คุณภาพการจัดการ : การจัดการที่มีความโปร่งใสสามารถและความเป็นระบบนั้น เพิ่มความเชื่อมั่นของนักลงทุนและปรับปรุงแนวโน้มระยะยาวของบริษัทด้วยค่ะ
- การกำกับดูแลกิจการ : บริษัทที่มีการกำกับดูแลกิจการอย่างเข้มแข็ง มักถูกมองว่าเป็นบริษัทมั่นคงและสามารถเรียกความเชื่อมั่นจากนักลงทุนได้ ส่งผลให้ราคาหุ้นสูงขึ้นค่ะ
- ระดับหนี้ : บริษัทที่มีหนี้สินในระดับสูงนั้น อาจจะทำให้ราคาหุ้นต่ำลงในช่วงเศรษฐกิจย่ำแย่ หรือกำไรจากกิจการน้อยลงค่ะ
แรงซื้อขาย
- อุปสงค์และอุปทาน : กฎพื้นฐานของอุปสงค์และอุปทานใช้กับตลาดหุ้น ความต้องการหุ้นที่สูงเมื่อเทียบกับอุปทานสามารถผลักดันราคาให้สูงขึ้นได้ แต่ถ้าหากอุปทานต่ำก็ทำให้ราคาต่ำได้เหมือนกันนะคะ
- ปริมาณการซื้อขาย : ปริมาณการซื้อขายที่สูงขึ้น สามารถบ่งชี้ถึงความสนใจและสภาพคล่องของนักลงทุนที่เพิ่มขึ้นในหุ้นนั้น ๆ ได้ค่ะ ดังนั้นแรงซื้อมาก ๆ ก็ทำให้ราคาหุ้นสูงขึ้นได้เช่นกัน
- Market Order กับ Limit Order : การผสมผสานระหว่าง Market Order (คำสั่งซื้อหรือขายที่ดำเนินการทันทีที่ราคาตลาดปัจจุบัน) และ Limit Order (คำสั่งซื้อหรือขายในระดับราคาเฉพาะ) อาจส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของราคาในระยะสั้นค่ะ
การเมืองและสถานการณ์ในประเทศ
- เสถียรภาพทางการเมือง : เสถียรภาพทางการเมืองสามารถเพิ่มความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในประเทศและดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ (ลองสังเกตจากตลาดหุ้นช่วง 7-8 ปีที่ผ่านมา กับช่วงเลือกตั้งที่ผ่านมาดูนะคะ)
- นโยบายของรัฐบาล : นโยบายที่เกี่ยวข้องกับภาษี, กฎระเบียบ และการพัฒนาเศรษฐกิจสามารถส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมและบริษัทได้ด้วยค่ะ
- ความไม่แน่นอนทางการเมือง : ความวุ่นวายทางการเมือง, การเลือกตั้ง และการเปลี่ยนแปลงผู้นำประเทศ (อย่างประเทศเราก็คือเลือกตั้งนายกและรัฐบาล) นำไปสู่ความผันผวนของตลาดได้ เนื่องจากนักลงทุนประเมินผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อสภาพแวดล้อมทางธุรกิจนั่นเองค่ะ
Sentiment ในตลาด
- จิตวิทยาตลาด : ความรู้สึกของนักลงทุน รวมถึงความกลัวหรือกังวล สามารถขับเคลื่อนการเคลื่อนไหวของตลาดในระยะสั้นได้ค่ะ (อย่างที่เราน่าจะเคยได้ยินคำว่า Serious Buy หรือ Panic Sell)
- ข่าวลือเกี่ยวกับตลาด : ข่าวลือก็มีผลต่อตลาดด้วยเช่นกันนะคะ อย่างเช่น หากมีการลือว่า อาจจะมีสงครามเกิดขึ้น ทั้ง ๆ ที่ยังไม่มีข่าวยืนยัน ตลาดก็อาจจะย้ายเงินที่ลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงไปยังสินทรัพย์ปลอดภัยหรือ Safe Haven นั่นเองค่ะ
- ข่าวการตลาด : ข่าวทั้งในประเทศและทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็น เศรษฐกิจ, การเมือง หรือสังคม สามารถกำหนดทิศทางของตลาดได้ทั้งหมดค่ะ (คงไม่ต้องยกตัวอย่างยากเลยนะคะ อย่างข่าวจากธนาคารกลาง และข่าวผลกระทบจากเศรษฐกิจ ล้วนมีผลค่ะ)
ขั้นตอนสำหรับมือใหม่หัดเทรดหุ้น
- เปิดบัญชี
- เลือกหุ้นที่เราสนใจ ทำการวิเคราะห์ให้ดี
- ทำการซื้อหุ้น (ขั้นต่ำ 100 หุ้น)
- ขายหุ้น เมื่อเราต้องการทำกำไร
ถ้าอยากเทรดหุ้น ต้องเริ่มต้นดังนี้เลยค่ะ
1. เปิดบัญชีกับทางโบรกเกอร์
แน่นอนว่าก่อนที่เราจะเข้าไปเริ่มเทรด เราต้องมีบัญชีเพื่อเทรดก่อนโดยสมัครผ่านตัวกลาง คุณน้าแนะนำรายชื่อที่คนส่วนใหญ่อาจจะคุ้นกัน ไม่ว่าจะเป็น Streaming, efin Trade Plus, Aspen Bualuang Trade และ Liberator เป็นต้น
หากใครต้องการดูรายชื่อนายหน้าหรือบริษัทโบรกเกอร์ของทาง SET สามารถดูได้ในลิงก์นี้เลยค่ะ
2.ทำการศึกษาหุ้นที่เราสนใจ
ก่อนที่จะเริ่มลงทุน สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจพื้นฐานการทำงานของตลาดหุ้นก่อนนะคะ ไม่ว่าจะเป็นหุ้นประเภทต่าง ๆ แบบที่คุณน้าแนะนำไปเบื้องต้น กลยุทธ์การลงทุน และความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องให้ดี
โดยเฉพาะหุ้นที่เราสนใจจะลงทุน ต้องทำการศึกษาก่อนว่าบริษัทนั้น ๆ น่าลงทุนมั้ย มีผลตอบแทนเป็นอะไรบ้าง
3.ทำการซื้อหุ้น
เมื่อได้หุ้นที่สนใจและศึกษาจนดีแล้วว่าน่าลงทุน ขั้นตอนต่อไปก็สามารถซื้อหุ้นได้เลยค่ะ โดยซื้อที่ขั้นต่ำ 100 หุ้น ส่วนราคาก็ขึ้นอยู่กับหุ้นแต่ละตัวเลยค่ะ คราวนี้พอหุ้นไปอยู่ในพอร์ตของเรา ก็แปลว่าเสร็จขั้นตอนการสั่งซื้อแล้วค่ะ
4.ขายหุ้นเมื่อต้องการทำกำไร
การขายหุ้น บางตัวอาจจะเป็นตัวที่เหมาะกับการเก็งกำไรในระยะสั้น หรือบางตัวเราอาจจะต้องถือเป็นเดือน หรือเป็นปีเพื่อที่จะได้รับผลตอบแทนที่ดีที่สุดรวมถึงปันผลด้วย แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความพอใจของผู้ถือหุ้นนะคะ
คุณน้าขอเน้นย้ำอีกรอบว่า การลงทุนทุกรูปแบบย่อมมีความเสี่ยงเสมอ อย่าลืมประเมินความเสี่ยงในการลงทุนแต่ละครั้งด้วยนะคะ
อย่าลืม Money Management
การบริหารเงินที่ดีเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามเลยค่ะ เพราะเป็นการช่วยลดความเสี่ยงในการขาดทุนและสามารถวางแผนเกี่ยวกับการลงทุนได้นะคะ
สำหรับใครที่ต้องการอ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Money Management สามารถอ่านได้ในบทความนี้เลยค่ะ
คำถามที่พบบ่อย เกี่ยวกับมือใหม่หัดเทรดหุ้นคืออะไร ?
1.เล่นหุ้นต้องเริ่มจากอะไร ?
- ศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับตลาดหุ้นให้เข้าใจ
- เปิดบัญชี
- เลือกหุ้นที่เราสนใจ ทำการวิเคราะห์ให้ดี
- ทำการซื้อหุ้น (ขั้นต่ำ 100 หุ้น)
- ขายหุ้น เมื่อเราต้องการทำกำไร
2.มีเงิน 500 บาท ซื้อหุ้นได้ไหม
ได้ค่ะ การจะซื้อหุ้น ต้องซื้อหุ้น 100 หุ้นขึ้นไปค่ะ ดังนั้นคุณน้าเลยไม่สามารถฟันธงได้ว่า หุ้นที่คุณต้องการลงทุน 500 บาทจะเพียงพอมั้ย แต่ถ้าหากมีงบ 500 บาท อาจจะเลือกลงทุนกับหุ้นที่มีราคาต่ำกว่า 5 บาทต่อหุ้นได้นะคะ
3.ซื้อหุ้นอย่างไรให้ได้ปันผล
ต้องทำการศึกษาก่อนนะคะ ว่าหุ้นที่เราสนใจนั้น มีการให้ปันผลหรือไม่ เพราะจะมีเป็นบางหุ้นเท่านั้น ไม่ใช่ทุกหุ้นที่มีปันผลค่ะ
สรุป
ตลาดหุ้นไทยก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับคนไทยเราเลยค่ะ เพราะว่าเป็นตลาดการลงทุนที่ใกล้ตัวมาก ๆ เลยค่ะ เลยสามารถทำให้เราได้ประโยชน์จากตรงนี้ได้ เช่น เราสามารถรับรู้ข่าวสารเกี่ยวกับบริษัทต่าง ๆ ได้ง่าย ดังนั้น คุณน้าก็หวังว่า บทความนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับใครหลาย ๆ คนที่สนใจลงทุนในตลาดหุ้นไทยนะคะ
และอย่าลืมกดติดตามเพจคุณน้าพาเทรดและติดตามเว็บไซต์ของคุณน้า เพื่อไม่พลาดบทความดี ๆ ในอนาคตนะคะ
ขอบคุณข้อมูลจาก : ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
บทความในการเทรดที่น่าสนใจ : มือใหม่หัดเทรด
คลังความรู้จากคุณน้า : Knowledge