การสำรวจครั้งใหม่ชี้ให้เห็นว่าผู้บริหารกองทุนป้องกันความเสี่ยง, ผู้จัดการความมั่งคั่ง และนักลงทุนสถาบันที่มีการลงทุนในสินทรัพย์ คริปโตอยู่แล้ว มีความตั้งใจที่จะลงทุนในคริปโตเคอร์เรนซีเพิ่มเติม
การสำรวจดังกล่าวดำเนินการโดย Nickel Digital Asset Management กองทุนคริปโตในลอนดอน ซึ่งได้เปิดเผยว่า 82% ของนักลงทุนและผู้จัดการความมั่งคั่งที่ตอบแบบสอบถามจำนวน 100 ราย คาดว่าจะเพิ่มการถือครองสินทรัพย์ดิจิทัล ในระหว่างงปีนี้ ถึงปี 2023
นอกจากนี้ การวิจัยที่ดำเนินการในเดือนพฤษภาคม และมิถุนายน ที่ได้แบ่งปันข้อมูลกับ Cointelegraph จากการสำรวจผู้จัดการความมั่งคั่งจำนวน 50 รายและนักลงทุนสถาบันอีกจำนวน 50 ราย ที่มีการถือครองสินทรัพย์ดิจิทัลอยู่แล้ว ทั้งในสหรัฐฯ, สหราชอาณาจักร, ฝรั่งเศส, เยอรมนี และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
จากการสำรวจพบว่าสี่ในสิบหรือ 40% ต้องการที่จะเพิ่มการถือครองเป็นจำนวนมาก ขณะที่มีเพียง 7% ที่ต้องการจะลดการถือครองและมีเพียง 1% เท่านั้นที่วางแผนจะขายการถือครองทั้งหมดทิ้ง
โดยเหตุผลหลัก ที่ทำให้นักลงทุนอยากจะลงทุนในสินทรัพย์เพิ่มขึ้นเป็นเพราะ 58% ของผู้ตอบแบบสอบถาม มองเห็นแนวโน้มการเติบโตของเงินทุนในระยะยาว แม้ว่าตลาดคริปโตจะตกต่ำครั้งใหญ่ แต่บิทคอยน์ก็ยังคงทำรายได้ 18% ในปีนี้ ขณะที่ Ethereum มีมูลค่าเพิ่มขึ้นถึง 215%
ผู้ตอบแบบสอบถามจำนวน 38% เชื่อว่าการลงทุนในสินทรัพย์คริปโต ทำให้พวกเขามั่นใจสินทรัพย์ประเภทนี้มากขึ้น ขณะที่ 37% กล่าวว่าการลงทุนในคริปโตของบริษัท และผู้จัดการกองทุนชั้นนำเป็นเหตุผลในการลงทุนของพวกเขา
Anatoly Crachilov ผู้ร่วมก่อตั้งและ CEO ของ Nickel Digital ให้ความเห็นว่า “ความเชื่อมั่นในสินทรัพย์คริปโตกำลังเพิ่มมากขึ้น และเขาคาดว่าแนวโน้มดังกล่าวจะดำเนินต่อไป”
“การวิเคราะห์ของเราเมื่อต้นเดือนมิถุนายน แสดงให้เห็นว่าบริษัทที่มีการจดทะเบียน และมีมูลค่าตามราคาตลาดมากกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์จำนวน 19 แห่ง ได้มีการลงทุนในบิทคอยน์เป็นมูลค่ากว่า 6.5 พันล้านดอลลาร์ จากตอนเริ่มต้นที่ได้ลงทุนในคริปโตเคอร์เรนซีเป็นมูลค่า 4.3 พันล้านดอลลาร์”
เมื่อเดือนที่แล้ว Cointelegraph ได้รายงานว่าผลสำรวจที่ดำเนินการโดย AJ Bell บริษัทการลงทุนในสหราชอาณาจักร เปิดเผยว่าผู้คนลงทุนในสินทรัพย์คริปโตมากกว่าหุ้น ในปีที่ผ่านมา
นอกจากนี้การสำรวจของ MasterCard ในเดือนพฤษภาคมเปิดเผยว่า สี่ในสิบของผู้ตอบแบบสอบถามวางแผนที่จะใช้คริปโตเคอร์เรนซีสำหรับการชำระเงินในปีหน้า