เข้าสู่ปี 2022 นี้ หนึ่งในการลงทุนที่ยังคงเป็นที่สนใจก็คงไม่พ้นบิทคอยน์ (Bitcoin) ซึ่งเป็นที่ทราบกันว่าบิตคอยน์เป็น Cryptocurrency (สกุลเงินดิจิทัล) สกุลแรกของโลก ที่เกิดจากเทคโนโลยี Blockchain ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ทำให้การทำธุรกรรมการเงินระหว่างกันไม่จำเป็นต้องมี “ตัวกลาง” เหมือนแต่ก่อน และหลายๆ คนที่เข้ามาในวงการแลกเปลี่ยนค่าเงินคริปโตสักระยะ เริ่มมีข้อสงสัยว่าการที่เรามีรายได้จากการซื้อขายค่าเงินจะโดนเก็บ ภาษีคริปโต หรือไม่ วันนี้ คุณน้าพาเทรด จะพาไปไขข้อสงสัยกันว่า ภาษีบิตคอยน์ หรือ ภาษีคริปโต มีรายละเอียดอย่างไร
จากที่มีการประกาศเป็นกฎหมายเกี่ยวกับภาษีทรัพย์สินดิจิตอล (อ้างอิงจาก พระราชกําหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 19) พ.ศ. 2561) เพื่อกำหนดว่านักลงทุนต้องเสียภาษีอย่างไรบ้าง ซึ่งสรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
Cryptocurrency และเหรียญ ICO ไม่ใช่ ‘สกุลเงิน’ แต่เป็น ‘ทรัพย์สินดิจิตอล’
ทรัพย์สินดิจิตอลที่อยู่ในเกณฑ์ต้องเสียภาษีตามกฎหมายนี้ ได้แก่ Cryptocurrency (คริปโทเคอร์เรนซี) และ Digital Token (โทเคนดิจิทัล) ซึ่งในที่นี้ขออนุญาตเรียกทรัพย์สินดิจิตอลรวมๆ ว่า coin
Crytocurrency คือ coin ที่เกิดขึ้นมาเพื่อใช้เป็นตัวกลางแลกเปลี่ยนเสมือนเป็นเงิน เช่น Bitcoin (BTC), Litecoin (LTC) หรือ Ethereum (ETH)
ส่วน Digital Token คือ coin ที่เกิดขึ้นจากการระดมทุนผ่านการทำ ICO (Initial Coin Offering) เพื่อนำ coin ไปใช้ประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่งเป็นการเฉพาะระหว่างผู้ออก coin และผู้ถือ coin เช่น OmiseGo (OMG), JFinCoin (JFIN) หรือ Carboneum (C8) เป็นต้น
กำไรจากการขาย coin ให้หักภาษี 15%
หากได้กำไรเนื่องจากขายได้ราคามากกว่าต้นทุนที่ซื้อมา ก่อนนักลงทุนจะได้รับเงิน ผู้ขายจะต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายในอัตรา 15% จากกำไรด้วยก่อนจะจ่ายเงินให้ลูกค้าที่เป็นนักลงทุน ( มาตรา 40(4)(ฌ),50(2)(ฉ) ประมวลรัษฎากร)
ผลประโยชน์ที่จ่ายจากการถือ coin ให้หัก ภาษีคริปโต 15%
หาก coin ที่ถือไว้มีสิทธิได้รับผลประโยชน์หรือส่วนแบ่งกำไรให้แก่ผู้ถือ เช่น ถ้า coin นั้นจะได้รับเงินปันผลจากผู้ออก coin ถ้ากิจการนั้นมีกำไรโดยแบ่งจ่ายให้ตามสัดส่วนจำนวน coin ที่ถืออยู่ กรณีนี้ผู้ออก coin จะต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายในอัตรา 15% จากส่วนแบ่งกำไรหรือผลประโยชน์นั้นด้วยก่อนจะจ่ายเงินให้ลูกค้าที่เป็นผู้ถือ coin (มาตรา 40(4)(ซ),50(2)(ฉ) ประมวลรัษฎากร)
ถูกหัก ภาษีคริปโต 15% ไปแล้ว ต้องนำมายื่นภาษีประจำปีด้วยอยู่ดี
รายได้จากเหรียญเหล่านี้แม้จะถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 15% ไปแล้ว นักเทรดก็ยังต้องนำมายื่นภาษีประจำปีด้วยอยู่ดี เนื่องจากไม่มีกฎหมายให้สิทธิ์ไม่ต้องยื่นภาษี (ซึ่งในส่วนนี้จะแตกต่างกับรายได้จากการลงทุนในรูปของดอกเบี้ยหรือเงินปันผลอย่างชัดเจนที่สามารถปล่อยให้ถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายโดยไม่ต้องนำมายื่นภาษีอีกก็ได้ ดังนั้น การหักภาษีทรัพย์สินดิจิตอล ณ ที่จ่าย 15% จึงเป็นเพียงการชำระภาษีล่วงหน้าเท่านั้น ยังไม่ใช่ภาษีสุดท้าย
รายได้จาก coin หักค่าใช้จ่ายไม่ได้เลย
เนื่องจาก coin เหล่านี้ถูกกำหนดให้เป็น เงินได้ประเภทที่ 4 ซึ่งเป็นกลุ่มเดียวกับพวกดอกเบี้ยและเงินปันผลซึ่งหักต้นทุน ค่าใช้จ่าย ใด ๆ ไม่ได้อยู่แล้ว จึงทำให้รายได้จาก coin เหล่านี้หักต้นทุนค่าใช้จ่ายใดๆ ไม่ได้เลย (มีเพียงกรณีกำไรจากการขาย coin เท่านั้นที่ให้หักยกเว้นต้นทุนค่าซื้อ coin ได้) ดังนั้น ต้นทุนค่าใช้จ่ายอื่น ๆ แม้ว่าจะมีต้นทุนที่เกิดขึ้นจริง เช่น ค่าเครื่องขุด ค่าไฟฟ้า ค่าเช่า ก็ไม่สามารถนำมาใช้เพื่อทำให้เสียภาษีถูกลงได้
เพราะฉะนั้นนักเทรดทุกคนจึงควรจะเก็บหลักฐานทุกชนิดเช่น รายการซื้อขายรายวันเพื่อใช้ในกรณีที่มีการเรียกสอบภาษี นักเทรดจำเป็นจะต้องชี้แจงถึงที่มาที่ไปของเงินเพื่อชี้แจงความโปร่งใสของแหล่งที่มาด้วยนะคะ
สรุป
โดยสรุปแล้วเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องที่สำคัญต่อนักเทรดหรือผู้ถือครองคริปโตเคอร์เรนซีทุกท่านเลยนะคะ เพราะจะได้รับรู้และคำนวณถึงรายได้จากคริปโตอย่างถูกต้อง แล้วจะได้เสียภาษีอย่างถูกกฏหมายด้วย นับว่าเป็นการปรับใช้ที่หลายคนเองก็อาจจะปรับตัวไม่ทันไปตาม ๆ กันเช่นกันคะ แต่คุณน้าก็หวังว่าทุกคนจะปรับตัวกันได้โดยเร็วที่สุดนะคะ
บทความในเรื่องการลงทุนที่น่าสนใจ : Investing
คลังความรู้จากคุณน้า : Knowledge
ขอบคุณข้อมูลจาก : กรมสรรพากร